SET วันนี้แกว่งตัว 1,640 – 1,660 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุน 17 หุ้น 4 ธีมเด่นมีปัจจัยบวกหนุน

SET วันนี้แกว่งตัว 1,640 - 1,660 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุน 17 หุ้น 4 ธีมเด่นมีปัจจัยบวกหนุน


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ รวบรวมข้อมูลทิศทางการลงทุนวันนี้(11ก.พ.62) โดยอาศัยข้อมูลบล.ฟินันเซีย ไซรัส และ บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งระบุไว้ดังนี้

บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้: คาด SET Index แกว่งตัว 1,640 – 1,660 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน ประกอบกับความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหลังตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญประเทศขนาดใหญ่หดตัวลง

อีกทั้ง EU ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้และปีหน้าลง, ความไม่แน่นอนของการประชุมเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้ทันก่อน deadline 1 มี.ค. รวมถึงภาวะการเมืองภายในประเทศที่ร้อนแรงขึ้นหลังมีกระแสข่าวการยุบพรรคไทยรักษาชาติ

อย่างไรก็ตามคาดว่าจะได้แรงซื้อดักผลประกอบการและเงินปันผลปี 2018 ที่กำลังทยอยประกาศ รวมถึงภาวะ Risk on จาก FED ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งเป็นปัจจัยหนุนต่อทิศทางตลาดในช่วงนี้  สำหรับปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่การเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างจนท.ระดับสูงของสหรัฐ-จีนในวันที่ 14-15 ก.พ.

กลยุทธ์การลงทุน : Selective Buy

กลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS, HMPRO) ได้ประโยชน์เม็ดเงินที่จะสะพัดมากขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง   

– STEC, AMATA, WHA, BEM ได้ประโยชน์ภาวะการเมืองปลดล็อคและวันเลือกตั้งที่ชัดเจน

กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม (AOT, MINT, CENTEL, ERW) ครม.ขยายเวลามาตรการฟรีค่าธรรมเนียมวีซ่า (VOA) ถึงวันที่ 30 เม.ย.19 และคาดจำนวน นทท.จีนขยายตัวขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน

กลุ่มที่คาดว่ากำไร 4Q18 และปี 2019 เติบโตต่อเนื่อง SAWAD, MTC, IHL, EA, GFPT และ TU

หุ้นแนะนำวันนี้: STEC (ปิด 22.2 ซื้อ/เป้า 29) ได้อานิสงส์ภาครัฐเร่งเปิดประมูลงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการเพื่อทิ้งทวนก่อนเลือกตั้ง อาทิ รถไฟฟ้าสายสีส้ม มูลค่า 1.2 แสนลบ. และรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง มูลค่ารวมกว่า1.4 แสนลบ. เลือก STEC และ CK เป็น top pick, GFPT(14.3 ซื้อ/เป้า 16.6) ราคาไก่ในประเทศยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องส่งผลบวกต่อ Sentiment การลงทุนของหุ้น GFPT ล่าสุดราคาขายไก่ในประเทศเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 36-37 บาทต่อ ก.ก.เพิ่มขึ้น 16% จากราคาขายในช่วงต้นปีที่ 32 บาทต่อ ก.ก., THANI (ปิด 7.4 ซื้อเก็งกำไร/เป้า Consensus 10.2) ยอดปล่อยสินเชื่อรถบรรทุกยังสดใสจากความต้องการที่มากขึ้นในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และคลายกังวลเรื่องตั้งสำรองเพราะตั้งสูงกว่าเกณฑ์ใหม่ของ IFRS9 ไปแล้ว รวมทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังถูกมี upside จากราคาเป้าหมายของ Consensus ถึง 39%

Top picks ปี 2019 : BGRIM, CPALL, EA, EPG, JMT และ ROBINS

KSS report วันนี้ : PTTEP  (ปิด 124 ถือ/เป้า 115), PSL  (ปิด 8.45 ปรับลดเป็นขาย/เป้าใหม่ 7.5 จาก 8.2),SGP  (ปิด 10.8 ถือ/เป้าใหม่ 10.0 จาก 9.5), Thailand Strategy

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส  ระบุแนวโน้มตลาดวันนี้ : คาดว่า SET Index ยังคงอยู่ในช่วงแกว่งตัวพักฐานหลังปรับตัวขึ้นมาพอสมควรตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ม.ค. ขณะที่ประเด็นต่างประเทศทั้งสงครามการค้าและ Brexit ยังคงต้องจับตาเนื่องจากเริ่มเข้าใกล้เส้นตายในเดือน มี.ค. มากขึ้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศความเสี่ยงเรื่องการเมืองและการเลือกตั้งเริ่มมีมากขึ้น จึงมองว่าระยะนี้หุ้นที่ยัง Laggard และมีความ Defensive น่าจะเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาด

กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่ยัง Laggard และ Defensive

หุ้นเด่นเดือน ก.พ : EA, ERW, GLOBAL, SAPPE, SEAFCO

ประเด็นสำคัญวันนี้

(-) เงินบาทอ่อนค่าเร็วกว่าภูมิภาค สกุลเงินในเอเชียส่วนใหญ่อ่อนค่าเมื่อวันศุกร์ จาก Dollar Index ที่ฟื้นตัวกลับเพราะสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนดูจะยืดเยื้อ แต่เงินบาทดูจะอ่อนค่ามากสุด (เกือบ 1% อยู่ที่ 31.50 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแข็งค่าสุดในภูมิภาคมาตั้งแต่ต้นปี อีกส่วนน่าจะมาจากความสับสนในประเด็นการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่าความกังวลนี้จะคลี่คลายไปแล้ว แต่คาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าอีกระยะ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนคืออิเล็กทรอนิกส์ (SVI) ยานยนต์ (SAT) และเกษตรอาหาร (CPF TU) ส่วนหุ้นที่ได้รับผลลบคือ โรงไฟฟ้า (GULF BGRIM) ผู้นำเข้าสินค้ามาขายในประเทศ (SYNEX FTE)

(+) PTTEP โทนจากการประชุมนักวิเคราะห์เป็นบวก จากแผนการทยอยตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายภายในปีนี้ ทั้งแหล่งโมซัมบิค เวียดนามและแอลจีเรีย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเพิ่มปริมาณการผลิตในส่วนของสผ.ได้อีกราว 40,000 boepd ในช่วงปี 2023 และยังช่วยเพิ่มปริมาณสำรอง/การผลิตได้อีกราว 1.5 ปี ยังไม่รวมปริมาณสำรองของบงกช-เอราวัณ ที่พึ่งประมูลได้อีกราว 4 ปี ทำให้ปริมาณสำรอง/การผลิต สิ้นสุดปลายปี 2019 คาดว่าจะอยู่ที่ 10 ปี ส่วนการรุกธุรกิจ gas to power ในพม่า ยังเป็น upside ให้กับกำไรและมูลค่าหุ้นในอนาคต ยังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 150 บาท ปันผลงวด 2H18 อยู่ที่ 3.25 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 2.6% ขึ้น XD วันที่ 12 ก.พ.นี้

(-) IRPC คาดขาดทุนสุทธิ 1.85 พันลบ. (-172% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, -141 % เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) เนื่องจากผลของ Stock loss ราว -4.1 พันลบ. เมื่อเทียบกับ 3Q18 และ 4Q17 ที่มี Stock gain +1.0 พันลบ. และ +2.1 พันลบ. ถ้าหักรายการดังกล่าวออก กำไรปกติอยู่ที่ 2 พันลบ. (+42% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, +8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จาก Market GIM ที่ปรับตัวดีขึ้นเป็น US$14.1/บาร์เรล (+12% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, -1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ส่วนกำไรทั้งปีคาดว่าอยู่ที่ 7.4 พันลบ. (-35% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) เนื่องจากปีก่อนมี Stock gain จำนวนมาก แม้ยังคงราคาเป้าหมายที่ 7.5 บาท (EV/EBITDA 8.2 เท่า ตามค่าเฉลี่ยในอดีต) แต่ด้วยแนวโน้มกำไร 1Q19 ที่อาจฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มเพราะมีแผนหยุดซ่อมเพื่อติดตั้งหน่วย UHV เพิ่มเติม จึงแนะนำ Switch ไป PTTGC หรือกลุ่มโรงกลั่นก่อน

(-) THCOM ประกาศขาดทุนสุทธิ 4Q18 ที่ 1,990 ลบ. โดยมีการตั้งด้อยค่าดาวเทียม 2,253 ลบ. ซึ่งหากตัดรายการดังกล่าวออกจะมีขาดทุนปกติ 181 ลบ. โดยทั้งปี 2018 มีกำไรสุทธิ 230 ลบ.พลิกจากขาดทุนหนัก 2,650 ลบ.ในปีก่อน ขณะที่กำไรปกติอยู่ที่ 120 ลบ.จากขาดทุน 124 ลบ. อย่างก็ตามยังคงมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ยังคงหดตัวซึ่งสะท้อนถึงการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์อย่างมีนัยยะซึ่งเกิดขึ้น 2 ปีติดต่อกัน จึงยังไม่มีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน

(+) CMAN จากผลผลิตน้ำตาลที่ยังออกมามาก และแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าในช่วงปลายปี 2018 รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง และไม่มีค่าใช้จ่ายในการ Refinance หนี้ราว 11 ลบ. ใน 3Q18 ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิ 4Q18 จะเพิ่มขึ้นถึง 78% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ 87% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 35 ลบ. ส่วนกำไรทั้งปี  2018 จะจบใกล้เคียงที่คาดคือ 150-160 ลบ. +40-50% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แนวโน้มปี 2019 คาดโตต่อเนื่อง 27% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 208 ลบ. จากโรงงานในอินเดียที่เริ่มผลิตและส่งมอบปูนไลม์ได้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PE2019 เพียง 12 เท่า ต่ำกว่า SUTHA ที่ซื้อขายในช่วง 15-16 เท่า ยังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 3.90 บาท

Back to top button