กลุ่ม JAS แรงไม่หยุด! บวกต่อยกแผง ลุ้น “พิชญ์” ประกาศบิ๊กเซอร์ไพรส์

กลุ่ม JAS แรงไม่หยุด! บวกต่อยกแผง ลุ้น “พิชญ์” ประกาศบิ๊กเซอร์ไพรส์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ล่าสุด ณ เวลา 10.52 น. อยู่ที่ 6.05 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 2.54% สูงสุดที่ 6.05 บาท ต่ำสุดที่ 5.95 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 275.35 ล้านบาท

ส่วนราคาหุ้น บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 3 หรือ JAS-W3 อยู่ที่ 3.50 บาท บวก 0.12 บาท หรือ 3.55% สูงสุดที่ 3.54 บาท ต่ำสุดที่ 3.42 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 100.99 ล้านบาท

ขณะเดียวกันราคาหุ้น บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS อยู่ที่ 1.65 บาท บวก 0.03 บาท หรือ 1.85% สูงสุดที่ 1.70 บาท ต่ำสุดที่ 1.64 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 7.36 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นกลุ่ม JAS ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้  หลังจากวานนี้ (13 ก.พ.) ราคาหุ้นในกลุ่ม JAS ปรับตัวขึ้นแรงทุกหลักทรัพย์ โดย JAS บวก 0.25 บาท มาที่ 5.90 บาท เปลี่ยนแปลง +4.42% และเป็นการปิดที่ระดับราคาสูงสุดของวัน มูลค่าการซื้อขาย 649.0 ล้านบาท ,หุ้น JAS-W3 บวก 0.36 บาท ปิดที่ 3.38 บาท เปลี่ยนแปลง +11.92% มูลค่าการซื้อขาย 203.2 ล้านบาท

อีกทั้ง หุ้น JTS หรือบริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) บวก 0.11 บาท ปิดที่ 1.62 บาท เปลี่ยนแปลง 7.28% มูลค่าการซื้อขาย 49.5 ล้านบาท และ JASIF หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน บวก 0.10 บาท ปิดที่ 10.40 บาท (ระหว่างวันขึ้นไปสูงสุด 10.50 บาท) เปลี่ยนแปลง 0.97% มูลค่าการซื้อขาย 325.8 ล้านบาท

 

โดย แหล่งข่าวจากวงการเงิน กล่าวว่า อาจจะมีธุรกรรมทางการเงินจากนายพิชญ์ โพธารามิก แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นธุรกรรมรูปแบบไหน เพราะที่ผ่านมามักจะเป็นธุรกรรมเซอร์ไพรส์มาโดยตลอด

“มีข้อน่าสังเกตว่า JAS-w3 ราคาได้วิ่งขึ้นมาด้วย ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีเรื่องการขายหุ้นหรือการใช้สิทธิแปลงอะไรหรือไม่” แหล่งข่าวระบุ

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ราคาหุ้น JAS ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันนั้น คาดว่าจะเก็งกำไรเรื่องการขายสินทรัพย์เข้าสู่ JASIF ที่คาดว่ามูลค่าขายจะมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท และจะบันทึกกำไรก้อนใหญ่จ่ายเงินปันผลพิเศษได้สูงตามมา ตามกำหนดเวลา (Time Line) เดิมจะเป็นประมาณไตรมาส 4 นี้ คือเริ่มยื่น Filing ในไตรมาส 2 และ ก.ล.ต.ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 6 เดือน แต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกันที่จะข้ามผ่านไปปี 2563 เนื่องจากยังตกลงกันไม่ได้ในเงื่อนไขการขายสินทรัพย์บางประการ

สำหรับหลักใหญ่คือ ระยะเวลาการขายไปและเช่าสินทรัพย์โครงข่ายกลับคือ 1. สัญญาเดิมตอน IPO ที่จะหมดอายุลงปี 2569 จะขยายการเช่าเพิ่มไปเป็นปี 2575 เท่ากับอายุสัญญาเช่าใหม่ที่จะขายสินทรัพย์ ซึ่งข้อนี้มีความเป็นไปได้ที่จะตกลงกันได้ และ 2. หลังหมดสัญญาเช่าใหม่ในปี 2575 ทาง JASIF อยากให้มีทางเลือก (Option) เพิ่ม คือขยายเวลาเช่าไปอีก 10 ปี คาดว่าจะเป็นเงื่อนไขที่เจรจากันอยู่และยังไม่สำเร็จ นั่นคือ JASIF ต้องการให้มีโอกาสที่ JAS จะเช่าต่อ แต่ทาง JAS ก็อยากจะมีทางเลือกใหม่ ๆ เมื่อถึงเวลานั้น เช่นมีเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และอัตราค่าเช่า

ด้านความเสี่ยงอีกหนึ่งประการคือ การต้องบันทึกประมาณการหนี้สินในส่วนของหนี้สินระยะยาวเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการกลับคำพิพากษาของศาลฎีกา ให้เจ้าหนี้มีสิทธิ์มาเรียกร้องหนี้จาก JAS ได้ (จากเดิมที่ศาลล้มละลายกลางได้ตัดสินให้บริษัทออกจากแผนฟื้นฟูได้) และอาจกระทบผลการดำเนินงานในงบกำไรขาดทุนในส่วนรายการประมาณการหนี้สินที่ถูกฟ้องเพิ่ม บริษัทได้เปิดเผยว่าจำนวนมากที่สุดไม่เกิน 1,343 ล้านบาท ไม่รวมดอกเบี้ย ทั้งนี้รายการดังกล่าวล่าสุด ณ สิ้น 9 เดือนแรกปี 2561 ในส่วนหนี้สินบันทึกไว้ที่ 493 ล้านบาท และงบกำไรขาดทุน 170 ล้านบาท ยังมีส่วนที่อาจจะบันทึกในอนาคตได้อีกถึง 850 ล้านบาท ซึ่งแล้วแต่เจ้าหนี้จะมาฟ้องเพิ่มหรือไม่

โดยเห็นว่าการเก็งกำไรเรื่องการบันทึกกำไรก้อนใหญ่และจ่ายเงินปันผลพิเศษ เมื่อมีการขายสินทรัพย์เข้าสู่ JASIF หากมีความล่าช้าโดยเฉพาะข้ามไปปี 2563 ก็อาจจะเป็นผลลบกับราคาหุ้นได้ เพราะใช้เวลายาวนานเกินไป ต้องติดตาม แต่ในกรณีนักลงทุนระยะยาว อาจจะถือเพื่อการลงทุนได้

สำหรับผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปี 2561 กำไรสุทธิเป็น 4.8 พันล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดถึง 170% เทียบกับปีก่อน แต่มีกำไรพิเศษจำนวนมากจากการขายหุ้นบริษัทร่วมคือ JASIF หากไม่นับกำไรหลักเป็น 1.4 พันล้านบาท ลดลง 5% เทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักคือ ค่าใช้จ่ายขายบริหารที่สูงขึ้น สำหรับ Trailing P/E 4 ไตรมาสย้อนหลังเป็นเพียง 8.1 เท่า ดูเหมือนจะต่ำ แต่หากคำนวณเฉพาะกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) P/E สูงเป็น 20.9 เท่าแล้ว

Back to top button