จากยุคฟื้นตัว สู่ปรับตัว

ดัชนี SET ทำท่าไปต่อไม่ไหว ไม่แยแสกับการทำนิวไฮรอบ 3 เดือนของดัชนีดาวโจนส์ที่นิวยอร์ก มีนัยอะไรบ้าง เป็นโจทย์ที่นักลงทุนต้องติดตาม


พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล 

ดัชนี SET ทำท่าไปต่อไม่ไหว ไม่แยแสกับการทำนิวไฮรอบ 3 เดือนของดัชนีดาวโจนส์ที่นิวยอร์ก มีนัยอะไรบ้าง เป็นโจทย์ที่นักลงทุนต้องติดตาม

คำตอบน่าจะอยู่ที่ผลประกอบการงวดไตรมาสสุดท้าย และงวดปีของบรรดาธนาคารพาณิชย์ที่หุ้นจดทะเบียนซื้อขายในตลาด

แม้งบจะยังออกมาไม่หมด แต่ที่แน่นอนคือในภาพรวมแล้ว ผลประกอบการงวดสิ้นปี 2561 ของธนาคารแม้จะเติบโตขึ้น แต่กำไรของธนาคารโดยรวมเติบโตในอัตราที่ลดลง นั่นหมายความว่ามีธนาคารบางรายมีกำไรลดลงเกินค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ฉุดรั้งให้ตัวเลขไม่สวยไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่พ้น

ธนาคารขนาดเล็กอย่างน้อยหนึ่งราย จำต้องเพิ่มทุน ก่อนที่จะไม่สามารถปล่อยกู้เพิ่มได้ในปีนี้ แสดงให้เห็นถึงสุขภาพที่ไม่แข็งแรงชัดเจน

ธนาคารขนาดเล็กอีกรายหนึ่งเพิ่มทุนขายพันธมิตรต่างชาติไปแล้วในราคาสูงกว่ากระดาน แต่งบกำไรและกำไรสุทธิต่อหุ้นกลับไม่โดดเด่นตามคาด ผลลัพธ์ทำให้ราคาหุ้นแน่นิ่ง

ธนาคารขนาดกลาง 2 แห่ง กำลังเจรจาหาทางควบรวมกิจการโดยสมัครใจ แต่ยังไม่มีเค้าลางว่าจะพบข้อยุติในเวลาอันสั้น เผลอ ๆ อาจจะดีลล่มในปลายทางเอาง่าย ๆ หากผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ลงตัว

ธนาคารพาณิชย์ระดับหัวแถว ยังเดินหน้ารีดไขมัน ลดสาขา ปรับโครงสร้างเพื่อรองรับอนาคตของธนาคารยุคดิจิทัล พร้อมกับหาเครื่องมือควบคุมความเสี่ยงรุ่นใหม่ ๆ มารองรับพร้อมกัน ทำให้กำไรสุทธิและรายได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุคสมัยไม่สดใสชั่วคราว ซึ่งยากจะบอกได้ว่ายาวนานแค่ไหน

อดีตก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง ยุคที่ธนาคารพาณิชย์ไทยเติบโตปีละเกิน 10% และมีอัตรากำไรสุทธิเกินกว่า 20% ต่อปี ซึ่งถือเป็นยุคทองได้ผ่านไปแล้ว ไม่มีวันหวนคืนอีก แม้ว่า 8 ปีที่ผ่านมาจะกลับมาทำกำไรกันอีก แต่สภาพแวดล้อมใหม่ภายใต้กฎเหล็กของ BIS ที่มีกติกา stress test กำกับคุณภาพและสุขภาพของธนาคาร จนกระทั่งโอกาสทำกำไรแบบเดิมไม่มีอีกต่อไป

ปัจจุบันและอนาคต อาชีพนายธนาคารที่เคยเป็นอาชีพอันทรงเกียรติ หรือ noblesse oblige ถูกเทคโนโลยีดิจิทัลลดบทบาทลงให้มีฐานะเป็นส่วนหนึ่งในกลไกหมุนเงินของภาคธุรกิจโดยรวมในฐานะใหม่ ที่เป็นทั้งผู้เล่น (แข่งขันเอาตัวรอดเอง) และพี่เลี้ยง (ที่ปรึกษาให้ธุรกิจอื่น ๆ)

ที่ผ่านมา รายได้จากอัตราดอกเบี้ยและกำไรจากส่วนต่างของดอกเบี้ย เริ่มลดบทบาทและสัดส่วนลง ในขณะที่รายได้ส่วนอื่น ๆ (ค่าธรรมเนียมจากการให้บริการทางการเงินทางตรงกับอ้อม และผลตอบแทนการลงทุนอื่น ๆ) มีความสำคัญมากขึ้น

อัตรากำไรสุทธิที่ลดลงจากรายได้ปกติของธนาคารพาณิชย์ มีแนวโน้มถดถอยลงทั้งจากการแข่งขันและจากต้นทุนดำเนินงานเพื่อควบคุมคุณภาพขององค์กร จำต้องหากำไรจากธุรกิจเสริมอื่น ๆ แม้จะทำให้ธุรกิจนี้ซับซ้อน และลดเสน่ห์ลง แต่หากพิจารณาจากธุรกิจในระบบทุนนิยมแล้ว ก็ยังเป็นธุรกิจหลักที่ให้ผลตอบแทนในระดับหัวแถวอยู่ดี

แม้ว่าการปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่เข้าสู่ธนาคารดิจิทัลจะเป็นอนาคต แต่ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธได้ยากก็คือ แหล่งทำกำไรในปัจจุบันของธนาคารพาณิชย์ยังต้องพึ่งพากำไรจากแหล่งเดิมคือส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกนานหลายปี

ดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารเป็นของคู่กัน ธนาคารพาณิชย์ระดมเงินฝากของผู้มีเงินออม โดยจ่ายเป็นดอกเบี้ยเงินฝากผ่านต้นทุน จากนั้นนำมาหาประโยชน์จากทั้งสินเชื่อเงินกู้ที่มีผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก นอกเหนือจากรายได้บางส่วนจากค่าธรรมเนียมให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินสารพัด

การขึ้นหรือลงของอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ ขึ้นกับ 2 ปัจจัยสำคัญคือ ปริมาณเงินในท้องตลาด และความต้องการเงินกู้ของลูกค้าในแต่ละช่วงของเศรษฐกิจ

ในยามเศรษฐกิจขาขึ้น ความต้องการเงินกู้ของลูกค้าธนาคารพาณิชย์จะพุ่งขึ้นสูง ผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นตาม โดยดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นก่อน และดอกเบี้ยเงินฝากก็จะควบคู่ไปเพราะธนาคารต้องการระดมเงินฝากเข้ามาปล่อยกู้มากขึ้นเพื่อสร้างกำไรเพิ่ม (สอดรับกับการที่ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสกัดเงินเฟ้อเคียงคู่กันไปด้วย)

ในยามเศรษฐกิจขาลง หรือถดถอย ความต้องการเงินกู้ของลูกค้าธนาคารจะตกต่ำ ผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลง โดยเริ่มจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตามด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อลดต้นทุนธนาคารลง หากลดดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียว กำไรธนาคารจะลดลงไปรุนแรง

ปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ได้ใหม่ และไม่ใช่ “มือที่มองเห็น” อะไร แต่เป็นกลไกปกติของธนาคาร สิ่งที่คนถือหุ้นธนาคารหรือนักลงทุนทั่วไปควรจับตามองหลังจากนี้ไป จึงอยู่ที่ความสามารถทำกำไรของธนาคารหลังจากขึ้นหรือลดดอกเบี้ยไปแล้ว

การต่อสู้เพื่อ “รักษาปัจจุบัน” และ “ไล่ล่าอนาคต” ในยามนี้ของบรรดาธนาคารพาณิชย์ มีส่วนทำให้ราคาหุ้นธนาคารลดเสน่ห์ลงเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ เช่นหุ้นพลังงาน หรือขนส่งมวลชน หรืออสังหาริมทรัพย์ ที่มีความหวือหวาน่าสนใจกว่า

ดัชนี SET ที่ถูกถ่วงน้ำหนักโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ยังมีมาร์เก็ตแคปใหญ่มากกลุ่มหนึ่ง ที่ไปไหนไม่ได้ จึงมีเหตุและเส้นทางที่พึงเข้าใจได้

 

Back to top button