เคาะ 12 หุ้นเด่นพื้นฐานแกร่ง! ลุ้นราคาทำนิวไฮ-ทุบสถิติสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯต่อเนื่อง

เคาะ 12 หุ้นเด่นพื้นฐานแกร่ง! ลุ้นราคาทำนิวไฮ-ทุบสถิติสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯต่อเนื่อง


ตลาดหุ้นไทยวานนี้เคลื่อนไหวสดใสตามความคาดหวังว่าผู้นำสหรัฐจะได้พบกันกับผู้นำจีนเพื่อหารือข้อตกลงทางการค้า อย่างไรก็ดีปัจจัยบวกจะส่งผลจำกัด เนื่องจากยังมีหลายเหตุการณ์ที่ต้องติดตาม อาทิ การพบกันระหว่างผู้นำสหรัฐ และผู้นำเกาหลีเหนือระหว่างวันที่ 27-28 ก.พ.นี้

ขณะที่การเคลื่อนไหวของการเมืองภายในยังเฝ้าจับตาประเด็นยุบพรรคไทยรักษาชาติ และผลประกอบการของหลายบริษัทจดทะเบียนฯที่ออกมาต่ำกว่าคาด

อย่างไรก็ตามแม้ภาวะตลาดจะรอความชัดเจนดังกล่าว แต่หากสำรวจกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนและพื้นฐานแกร่ง แถมราคามีลุ้นทำนิวไฮ และเดินหน้าทุบสถิตินิวไฮตั้งแต่เข้าตลาดฯต่อเนื่องนั้นมีอยู่หลายตัวด้วยกัน

ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจหุ้นดังกล่าวมานำเสนอโดยอาศัยบทวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย),บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส และบล.เอเชีย เวลท์  โดยกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะทำนิวไฮได้ในช่วงนี้คือ SCB,AMATA,SVI,CPALL,AAV, PTTGC,ERW,DTAC และ COM7

ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะทุบสถิติสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดได้อีกอาทิ GULF,BEM และ SISB ซึ่งโบรกเกอร์ได้ให้ราคาเป้าหมายสูงและมีอัพไซด์เด่นดังบทวิเคราะห์ระบุไว้ดังนี้

 

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส   # กลยุทธ์ คือ หาก SET ปรับขึ้น เก็งกำไรรอบสั้นได้แนวต้านเป็น 1670-1680 จุด แต่หากมีแรงขาย แนวรับเป็น 1630,1620 จุด ด้านการซื้อลงทุนระยะกลาง ทยอยสะสม ส่วนดัชนีฯเป้าหมายทางพื้นฐานปี 2562 ยังเป็น 1780 จุด (+0.5 SD) ด้วยคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรปี 61-62 ที่ +8%/+6% ตามลำดับ

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ  SCB,AMATA,SVI,CPALL,AAV,PTTGC,ERW หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GUNKUL,RATCH,GPSC, HANA, PYLON, TRUE หุ้นที่หลุด List ไม่มี หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit TISCO,KTC,GLOW,VNT,TASCO,UTP,BTS,BLA

 

บล.เอเชีย เวลท์  Price Pattern ของ SET Index (จากกราฟ) ยังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบการแกว่งตัวที่ 1,605-1,695 จุด โดยมีแนวรับแข็งแกร่งอยู่ที่ 1,605 จุด และมีแนวต้านแข็งแกร่งอยู่ที่ 1,695 จุด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของ SET Index ตราบเท่าที่ Price Pattern ของ SET Index ยังสามารถรักษาการแกว่งตัวไว้ได้ในกรอบการแกว่งตัวที่ 1,605-1,695 จุด คือการหาจังหวะในการเล่นเก็งกำไรระยะสั้นได้ต่อไป ในกรอบการแกว่งตัวที่ 1,605-1,695 จุด กลยุทธ์การลงทุนของ SET Index คือการหาจังหวะในการเล่นเก็งกำไรระยะสั้นได้ต่อไป

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ COM7 มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 17.60 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 18.70 บาท (จุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 16.10 บาท)

GULF (จากกราฟ) มีเป้าหมายถัดไปของการทำ New High อยู่ที่ 102.50 บาท (จุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 87.50 บาท)

DTAC มีเป้าหมายแรกอยู่ที่ 51.50 บาท และมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 66.25 บาท (จุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 47 บาท)

 

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า ตลาดมีปัจจัยบวกที่เห็นได้ชัดเพียงเรื่องการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนและมาตรวัดความเสี่ยงตัวหนึ่งคือ CDS ของตราสารหนี้ไทยลดลง 3 วันติดต่อกัน สอดคล้องกับแรงซื้อกลับของนักลงทุนต่างประเทศซึ่งจะเป็นบวกช่วงต่อตลาดหากยังซื้อต่อเนื่อง ทางกลยุทธ์ แนะภาพรวมเพียง “ถือ” ด้วยประเด็นการเมือง การเข้าลงทุนยังเน้นเล่นเจาะรายตัว ให้น้ำหนักหุ้นเสี่ยงต่ำ (Defensive Play) คงเงินสดไว้ 20% หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์สัปดาห์นี้ ประกอบด้วย EA*,  GULF,  IVL, CPALL,  OSP, MAKRO* และ  GUNKUL*

GULF: (ซื้อ, เป้าเชิงกลยุทธ์ 96 บาท) มากกว่าธุรกิจโรงไฟฟ้า เพราะเป็นบริษัทคิดการใหญ่และคิดล่วงหน้าก่อนเสมอ ราคาหุ้นทำ New high แสดงถึงความเชื่อมั่นต่อนโยบายการลงทุนระยะยาวของบริษัท

เชื่อว่า GULF ไม่ใช่แค่หุ้นโรงไฟฟ้า แต่ด้วยการที่มีกระแสเงินสดล้นเหลือทำให้มีความพร้อมที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เป็นธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานของไทย อาธิ โครงการท่าเรือ และเข้าประมูลธุรกิจ LNG

คาดกำไรปี 2019 อยู่ 4 พันลบ. จากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าประเภท SPP ขนาด 500MW COD เมื่อปี 2018 เข้ามาเต็มปีในปี 2019 นอกจากนี้ GULF จะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งจากยอดหนี้ US 600 ล้าน

โดย GULF ราคาปิดวานนี้(25ก.พ.) อยู่ที่ระดับ 91.75 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 0.54% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 532.97 ล้านบาท โดยราคาหุ้นสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2560

 

บล.บัวหลวง ระบุว่า คาด BEMะรายงานกำไรหลักไตรมาส 4/61 ที่ 821 ล้านบาท เติบโต 8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (จำนวนผู้ใช้ทางด่วนและ MRT เพิ่มขึ้น) แต่ลดลง 14% เทียบไตรมาสก่อนหน้า (ค่าใช้จ่าย ในการขายและบริหารสูงขึ้นตามฤดูกาล) ทั้งนี้เราคาดว่ากำไรหลักของ BEM จะกลับมาเติบโตทั้ง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 1/62 หนุนโดยจำนวนผู้ใช้ทางด่วนและ MRT ที่เพิ่มขึ้น เราคาดว่ากำไรหลักในปี 2562 อยู่ที่ 3.9 พันล้านบาท เติบโต 17% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยจำนวนผู้ใช้ทางด่วนและ MRT ที่สูงขึ้น  แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.80 บาท/หุ้น

ส่วน BEM ราคาปิดวานนี้(25ก.พ.) อยู่ที่ระดับ 10.70 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.94% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 707.78 ล้านบาท โดยราคาหุ้นสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2558

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส คงคำแนะนำซื้อ SISB ราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 8.84 บาท   เพิ่งได้จัดงาน Open house ในวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมงานราว 250 คนและมีผู้สมัครเข้าเรียน 81 คน ทำให้จำนวนนักเรียนล่าสุดเราคาดว่าน่าจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ราว 2400 คน ซึ่งเร็วกว่าที่เราประมาณการไว้ (เราคาดจำนวนนักเรียนจะอยู่ที่ 2,441 คนในปี 2019)

ปัจจัยการเติบโตของกำไรในปีนี้นอกจากจะเกิดจากจำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเกิดจากอัตราค่าธรรมเนียมที่เราคาดว่าจะเติบโตราว 5% เป็น 4.4 แสนลบ.ต่อปี และประโยชน์ของ Operating leverage ที่คาดว่าน่าจะทำให้ Gross margin เพิ่มเป็น 39-40% และการประหยัดดอกเบี้ยจ่าย คงคำแนะนำซื้อ คงราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 8.84 บาท สำหรับประเด็นการฟ้องร้องทางกฎหมาย เรายังไม่เห็นคำตัดสินจากศาลปกครองสูงสุด ดังนั้นอาจเป็นประเด็นที่ต้องตามต่อ

ด้าน SISB ราคาปิดวานนี้(25ก.พ.) อยู่ที่ระดับ 6.15 บาท บวก 0.55 บาท หรือ 9.82% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 240.63 ล้านบาท โดยราคาหุ้นสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาดฯเมื่อวันที่ 29 พ.ย.2561

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button