ลดราคาน้ำมัน ทำได้! 

วันที่ 7 มีนาคม ศกนี้ จะเป็นวันที่มีความหมายสำคัญวันหนึ่ง ที่จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและต่อตลาดหุ้นไทยในระดับที่แน่นอนระดับหนึ่ง


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์ 

วันที่ 7 มีนาคม ศกนี้ จะเป็นวันที่มีความหมายสำคัญวันหนึ่ง ที่จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและต่อตลาดหุ้นไทยในระดับที่แน่นอนระดับหนึ่ง

นั่นคือวันชี้ชะตายุบพรรคไทยรักษาชาติ

ไม่ว่าผลลัพธ์ออกมาจะเป็นประการใด ผมว่ามีนโยบายหนึ่งของพรรคไทยรักษาชาติที่น่าสนใจมาก นั่นคือ นโยบายลดราคาน้ำมันโดยลดที่ตัวภาษีน้ำมัน ซึ่งนำเสนอโดยพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ลดภาษีน้ำมันดีเซลลิตรละ 5 บาท และเบนซินลิตรละ 3 บาท

ถามว่าถ้าจะทำ จะทำได้เลยไหม ผมก็ว่าทำได้ทันทีเลยครับ หากเป็นนโยบายรัฐบาล โดยไม่ต้องไปปรับเปลี่ยนกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ก็แค่ออกเป็นมติคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติหรือกพช.ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอยู่นั่นแหละ

ข้อมูลแห่งความเป็นจริงทนโท่ ที่ต้องย้ำเตือนเพื่อทลายกำแพงอวิชชากันอยู่บ่อย ๆ นั่นก็คือราคาเนื้อน้ำมันที่เป็นต้นทุนจริงหรือที่เรียกว่า “ราคาหน้าโรงกลั่น” นั้น มันห่างไกลกับราคาจำหน่ายปลีกหน้าปั๊มเป็นอันมาก…

จนผู้มีอาชีพ NGO ทั้งหลายเอามาปลุกระดมว่า น้ำมันสำเร็จรูปที่ไทยส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน มีราคาถูกกว่าประชาชนไทยบริโภคในประเทศเป็นอันมาก ซึ่งนี่ก็เป็นอวิชชาอย่างยิ่ง

“อวิชชา” ยังไงล่ะ! ก็เพราะเป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เนื่องจากการเป็นน้ำมันส่งออก ก็ไม่ต้องมีภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ภาษีเทศบาล เงินกองทุนน้ำมัน เงินกองทุนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ค่าการตลาด และภาษีมูลค่าเพิ่ม

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปส่งออก จึงมักจะเป็นราคาในระดับเดียวกับราคาหน้าโรงกลั่นหรือใกล้เคียง

ฉะนั้น จากโครงสร้างราคาจริงในปัจจุบัน ราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันเบนซินซุปเปอร์ 95 ลิตรละ 35.36 บาท เป็นราคาหน้าโรงกลั่นเพียงแค่ 14.70 บาทเท่านั้น ส่วนต่างราคามากถึง 20.66 บาท หรือคิดเป็นส่วนต่างราคาที่มากกว่ากันถึง 140%

น้ำมันเบนซิน 95 จากราคาเนื้อน้ำมันหน้าโรงกลั่นแค่ 14.70 บาท แต่บานปลายมาเป็นราคาจำหน่ายปลีกลิตรละ 35.36 บาทได้ ก็เพราะมีการบวกราคาค่านั่นค่านี่มาตามที่กล่าวข้างต้นนั่นแหละ ซึ่งรายการใหญ่ก็จะอยู่ที่ภาษีน้ำมัน 6.50 บาท การจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในอัตรา 8.08 บาท ค่าการตลาด 3.01 บาทและอื่น ๆ

เบนซิน 95 หากจะลดราคาขายจริงให้ไม่ถึง 20 บาท ก็สามารถจะขายได้ครับ แต่รัฐก็จะขาดรายได้ไปใช้ในการก่อสร้างถนนหนทาง การคมนาคม ตลอดจนการบำรุงรักษาเป็นจำนวนมาก

หรือแก๊สโซฮอล์ 95 ในปัจจุบันที่มีราคาจำหน่ายปลีก 27.95 บาท ก็มีราคาหน้าโรงกลั่นแค่ 15.39 บาท ส่วนต่างห่างกันถึง 12.56 บาท ก็เป็นภาษีน้ำมันซะ 5.85 บาท เงินเข้ากองทุนน้ำมัน 2.12 บาท ค่าการตลาด 2.07 บาท และอื่น ๆ

นี่ก็เหมือนกัน เบนซินแก๊สโซฮอล์ 95 ก็ขายต่ำกว่าราคา 20 บาทได้ครับ

ส่วนโครงสร้างราคาจริงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปัจจุบันที่จำหน่ายปลีกอยู่ที่ 27.69 บาท ก็เป็นราคาหน้าโรงกลั่นเพียง 16.79 บาท ส่วนต่างห่างกันประมาณ 10.90 บาท เป็นภาษีน้ำมัน 5.98 บาท กองทุนน้ำมัน 0.20 บาท ค่าการตลาด 2.02 บาทและอื่น ๆ

ฉะนั้นราคาน้ำมันจำหน่ายปลีกดีเซลก็เอามาลดราคาได้ไม่ถึง 20 บาทเหมือนกันครับ หากลดภาษีน้ำมันลง 5 บาท ตามที่พิชัย นริพทะพันธุ์เสนอได้

น้ำมันคือ ต้นทุนใหญ่ของราคาสินค้าและบริการ หากน้ำมันมีราคาถูกลง ก็จะทำให้ค่าครองชีพในชีวิตประจำวันของประชาชน และต้นทุนประกอบการของบริษัทห้างร้านทั้งหลายถูกลงด้วย

ข้อเสียคงมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือรายได้รัฐจากภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จากที่เคยเก็บได้ปีละประมาณ 2.24 แสนล้านบาท จะเข้าคลังน้อยลง

เมื่อเทียบผลได้ผลเสียกันแล้ว การลดราคาน้ำมันจะเป็นการลดภาระประชาชนและต้นทุนประกอบการได้มากกว่า โดยรายได้รัฐที่ขาดหายไป ก็อาจจะได้จากการจัดเก็บภาษีบริโภคจาก “กำลังซื้อ” ที่กลับคืนมา

นอกจากนั้น รัฐก็ควรจะลดทอน “ลัทธิประชานิยม” แบบไร้สติยิ่งขึ้นทุกวัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ต่างก็เสนอประชานิยมแข่งกันถึงขั้น “ท้องปุ๊บ ก็รับเงินสงเคราะห์แม่และเด็ก” ทันทีแล้ว

คำว่า “วินัยทางการเงินการคลัง” มันสูญสลายหายไปกว่า 4 ปีมาแล้วครับ

ไม่ว่าพรรคไทยรักษาชาติ จะถูกยุบหรือไม่ นโยบายลดดีเซล 5 บาท เบนซิน 3 บาท ก็ซื้อครับ ทำได้จริงอีกต่างหาก

 

Back to top button