โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง โบรกฯเคาะ 21 หุ้นเด่นเน้น Domestic Play-กำไรโต-อัพไซด์เกิน 10%

โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง โบรกฯเคาะ 21 หุ้นเด่นเน้น Domestic Play-กำไรโต-อัพไซด์เกิน 10%


เข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งส.ส.ทั่วประเทศ 24 มี.ค.62 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนมานำเสนอพร้อมชู 21 หุ้นเด่นน่าลงทุนโดยบทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัสระบุไว้ดังนี้

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลยุทธ์การลงทุน 1 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง 24 มี.ค. ตลาดน่าจะให้น้ำหนักกับเสถียรภาพรัฐบาล ภายหลังเลือกตั้งจะมีหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้ดัชนีหุ้นไทยยังผันผวนในกรอบ 1620-1640 จุดกลยุทธ์การลงทุนยังมุ่งเน้นรายหุ้นกำไรเด่นไตรมาส1/62 วัสดุก่อสร้าง,โรงพยาบาล และพลังงาน/ปิโตรเคมี เป็นต้น

ภาพการเมืองหลังการเลือกตั้ง อาจกลายเป็นแรงกดดัน

การเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. 2562 ที่กำลังจะเกิดขึ้น จากการสำรวจพบว่าจะมีประชากรที่มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนทั้งสิ้น 51.74 ล้านคน และถูกคาดหมายว่าจะมีจำนวนผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ ไม่น้อยกว่า 75% หรือ ไม่น้อยกว่า 38.80 ล้านคน

ขณะที่ ส.ส. ทั้งหมดจะมีจำนวน 500 คน (แยกเป็นบัญชีรายชื่อ 150 คน และ ระบบเขต 350 คน) เท่ากับว่า ส.ส. 1 คน จะต้องมีคะแนนเสียงสนับสนุนประมาณ 77,603 คน และด้วยระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม คาดว่าจะเห็นการกระจายตัวของ ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อ เข้าไปสู่พรรคการเมืองขนาดกลาง และ เล็กมากขึ้น

ส่วน ส.ส. ระบบเขต จะยังกระจุกตัวอยู่ในพรรคการเมืองขนาดใหญ่ 3 พรรค ได้แก่ พรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ และ พลังประชารัฐ โดยประเมินว่าทั้ง 3 พรรคใหญ่ น่าจะมีจำนวน ส.ส. ทั้งระบบบัญชีรายชื่อ และ ระบบเขตรวมกันราว 350 – 400 เสียง (ส่วนใหญ่เป็นระบบเขต)

โค้งสุดท้ายของการหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 ปรากฎสัญญาณหลายประการที่อาจสร้างความกังวลต่อภาพของการเมืองหลังการเลือกตั้ง ที่สำคัญได้แก่ การประกาศจุดยืนของพรรคการเมืองใหญ่ อย่างประชาธิปัตย์ ว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

ขณะที่ พรรคเพื่อไทยก็ประกาศไม่ร่วมรัฐบาล กับทั้ง ประชาธิปัตย์ และ พลังประชารัฐ การที่พรรคการเมืองที่คาดว่าจะได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็น 3 อันดับแรก  ต่างแสดงถึงท่าที่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลโดยที่จะไม่มีการร่วมมือระหว่างกัน ทำให้โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพในการบริหารประเทศมีความเป็นไปค่อนข้างยาก  และ  อาจทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้ ซึ่งถือเป็น Dead Lock ทางการเมือง

นอกจากนี้ยังอาจมีบางประเด็นที่ต้องติดตามต่อเนื่องไปหลังการเลือกตั้ง ได้แก่การตีความเรื่องคุณสมบัติ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามกฎหมายว่าสามารถอยู่ในบัญชีรายชื่อบุคคลเพื่อเสนอชื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หรือไม่ โดยน่าจะมีผลการพิจารณาออกมาหลังการเลือกตั้ง ประเด็นดังกล่าวถือเป็นความเสี่ยงทางการเมืองที่ถูกมองถึง และสร้างแรงกดดันต่อ SET Index ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง และอาจหมายถึงโอกาสที่จะเห็น Fund Flow ไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย มีความเป็นไปได้น้อยลง

ช่วงนี้ตลาดผันผวนกลยุทธ์การลงทุนเน้น 3 ธีม  โดยสัปดาห์นี้ให้น้ำหนักไปที่การเมืองในประเทศ โดยประเด็นหลักจะถูกมองไปที่รัฐบาลใหม่ ว่าจะมีเสถียรภาพในการบริหารมากน้อยเพียงใด เพื่อรอดูพัฒนาการของสถานการณ์ SET Index จึงมีโอกาสผันผวนค่อนข้างสูง กลยุทธ์การลงทุนแนะนำเลือกเป็นรายหุ้นใน 3 Theme คือ

1.หุ้นที่มีผันผวนน้อยกว่าตลาด (1L2H) โดย 1L คือ Low Beta คือ หุ้นที่ผันผวนต่ำน้อยกว่าตลาด และ 2H คือ High Upside และ High Growth ปี 2562

2.หุ้น Domestic Play

-กลุ่มรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มนิคมฯ ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน: STEC ([email protected]), SEAFCO (FV@ ก่อน XD 12.40 บาท หลัง XD 11.30 บาท), SCCC (FV@B269), AMATA ([email protected]), WHA ([email protected])

-กลุ่มธ.พ. จากการขยายตัวของสินเชื่อ: BBL (FV@B227), KBANK (FV@B246)

-กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของพรรคการเมือง ที่มุ่งเน้นผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกร: BJC (FV@B61), M (FV@B84),  SAWAD (FV@B54), MTC([email protected]), JMT ([email protected])

3.หุ้นที่มีผลกำไรโดดเด่นในไตรมาส1/62 และมี upside มากกว่า 10%: กลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ PTT(FV@B56), PTTGC(FV@B79) หุ้นโรงไฟฟ้า-พลังงานทดแทน BPP([email protected]) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง SCCC(FV@B269), TPIPL([email protected]) กลุ่มโรงพยาบาล BDMS(FV@B30), BCH(FV@B21) กลุ่มเกษตร-อาหาร CPF(FV @B31.50), TFG(FV @B4.50) ปิดท้ายด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ PSH ([email protected]), QH ([email protected]) และ CPN ([email protected])

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button