โบรกฯฟันSEAFCOผลงานโตต่อเนื่อง รับอานิสงส์เลือกตั้งหนุนงานในมือพุ่ง ลุ้นวิ่งเป้า 11.30 บ.

โบรกฯฟัน SEAFCO กำไรโตต่อเนื่อง รับอานิสงส์เลือกตั้งหนุนงานในมือพุ่ง ลุ้นวิ่งเป้า 11.30 บ.


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์หุ้น บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO หลังมีการคาดการณ์ว่า SEAFCO จะเป็น 1 ในหุ้นที่ได้รับผลดีจากการเลือกตั้งไม่ว่าพรรคใดจะได้รับเลือกก็ตาม โดย บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สิ่งที่นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นไทยนั้น น่าจะเกิดจากปัจจัยการเมืองใน ประเทศ ซึ่งยังคาดการณ์ได้ลำบากว่าผลการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.2562 นั้นจะออกมาเป็นเช่นไร หรือ รัฐบาลใหม่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ลงตัวหรือไม่

อย่างไรก็ดีตามที่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป เคยแนะนำนักลงทุนให้ทยอยลดพอร์ตตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ.2562 และยังประเมิน Upside ของดัชนีค่อนข้างจำกัดแต่การปรับตัวลงมาของดัชนีพร้อมกับการย่อตัวลงมาของกลุ่มค้าปลีก (BJC CPALL HMPRO) และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (CK SEAFCO STEC) ในช่วงที่ผ่านมา มองกลับมองเป็นโอกาสทยอยสะสมกลุ่มดังกล่าว

ทั้งนี้เชื่อว่าไม่ว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นใครก็ตามน่าจะต้องเลือกกระตุ้นการบริโภคในประเทศ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆเนื่องจากเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวอื่นอย่างการส่งออกยังน่าจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SEAFCO ประเมินราคาเป้าหมาย 11.30 บาท/หุ้น อิงค่า PER ที่ 21 เท่โดยคาดผลประกอบการทั้งปี 2562 ยังเติบโตดีต่อเนื่อง หนุนจากงานก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น งานรถไฟฟ้าสายสีส้ม งาน One Bangkok งาน Bangkok Mall ที่คาดจะส่งมอบงานแล้วเสร็จในปีนี้

ขณะเดียวกันยังคาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 2562 ใกล้เคียงกับปี 2561 ตามสัดส่วนงานค่าแรงอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นจากปี 2561 เพียงเล็กน้อย สำหรับงานใหม่ที่คาดว่าจะเข้ามาเติม Backlog ที่มีอยู่ 2.3 พันล้านบาทในเร็ว ๆ นี้ ได้แก่ งานก่อสร้างในประเทศเมียนมาร์ มูลค่าราว 200 ล้านบาท

ส่วนงานอื่น ๆ ที่บริษัทสนใจ และอยู่ระหว่างการประมูล ได้แก่ งานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน งานมิกซ์ยูสของกลุ่มดุสิตธานี และงานคอนโด Hi-End ของ 3-4 ราย ด้วยภาพรวมงานก่อสร้างที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง และ Backlog ที่แข็งแกร่ง

โดยปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท คาดสามารถรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ คิดเป็น 74% ของประมาณการรายได้ทั้งปีของเรา สำหรับรายได้ที่เหลือคาดมาจากงานใหม่ที่จะได้รับเร็ว ๆ นี้ เช่น งานก่อสร้างในประเทศเมียนมาร์ มูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท เป็นต้น

นอกจากนี้บริษัทยังมีงานที่อยู่ระหว่างยื่นประมูลหรืออยู่ในขั้นตอนเจรจารวมมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท คาดโอกาสได้รับงานที่ 30% โดยโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ที่น่าสนใจ ได้แก่ งานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่าก่อสร้างฐานรากประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และงานภาคเอกชน เช่น งานโครงการมิกซ์ยูสของกลุ่มดุสิตธานี มูลค่า 3.7 หมื่นล้านบาท และงานก่อสร้างคอนโดระดับไฮ เอนด์ (Hi-end) อีก 3-4 งาน มูลค่ารวม 800 ล้านบาท

ขณะที่ในปี 2561 บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลเงินสดสำหรับครึ่งหลังปี 2561 เท่ากับ 0.10 บาทต่อหุ้น และหุ้นปันผล 10:1 XD พ.ค. 62 แม้จะมี Dilution Effect ประมาณ 9% บริษัทอยู่ในช่วงเติบโตจึงไม่ได้ปรับลดราคาเป้าหมาย

ด้าน นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SEAFCO ประเมินราคาเป้าหมาย 10.20 บาท/หุ้น ยังมีมุมมองบวกกับอุตสาหกรรมฐานรากที่เป็นขาขึ้น ตามการเดินหน้าลงทุนของภาครัฐ และเอกชน ปัจจุบันมีงานในมือ 2.3 พันล้านบาท คาดทยอยรับรู้ในครึ่งปีแรกปี 2562 ราว 2 พันล้านบาท

ส่วนครึ่งแรกปี 2562 มาจากการรับงานเพิ่มระหว่างปี โดยบริษัทคาดหวัง 30% จากงานที่อยู่ระหว่างยื่นประมูล 2.3 หมื่นล้านบาท จึงปรับประมาณการกำไรปี 2562 ขึ้น 5% เป็น 375 ล้านบาท จากการปรับเพิ่มรายได้เป็น 2.9 พันล้านบาท บน Backlog ปัจจุบันที่ 2.3 พันล้านบาท คาดรับรู้ทั้งหมดในปีนี้ และรองรับประมาณการแล้ว 79% โดยคาดทยอยรับรู้เป็นรายได้ในครึ่งปีแรกปี 2562 ราว 2 พันล้านบาท หลักๆมาจากงานรถไฟฟ้าสีส้ม และ One Bangkok เฟส 1,4 ที่มีกำหนดส่งมอบในไตรมาส 2/62

ขณะที่ครึ่งหลังปี 2562 แหล่งรายได้จะมาจากการรับงานเพิ่มระหว่างปี ซึ่งมองว่าประมาณการรายได้ทั้งปียังเป็นไปได้ โดยให้น้ำหนักกับงานภาคเอกชนที่ยังเดินหน้าเปิดโครงการต่อเนื่อง ทั้งคอนโด ซึ่งอยู่ระหว่างการประมูล 3-4 โครงการ มูลค่างานเสาเข็มราว 1 พันล้านบาท และโครงการ Mixed-use อย่าง ดุสิตธานี รวมถึงงานจากต่างประเทศ ส่วนโครงการภาครัฐมีความเสี่ยงของเซ็นสัญญาล่าช้าไปปลายไตรมาส 3/62 ถึงไตรมาส 4/62 จากกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทำให้เริ่มงานก่อสร้างได้ไม่มากในปีนี้ แต่จะเป็นบวกกับปี 2563 มากกว่า

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากสัดส่วนของงานรับเฉพาะค่าจ้างที่มีถึง 58% ของงานในมือทั้งหมด ประกอบกับภาวะอุปทานที่ตึงตัว ท่ามกลางอุปสงค์สูง คาดหนุนอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่ดีราว 21-22% ทั้งนี้ บริษัทคาดหวังได้งานเข้ามาเติมราว 30% จากงานที่อยู่ระหว่างการยื่นประมูล รวม 67 โครงการ มูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท, งานทางด่วน เป็นต้น

ขณะที่ราคาหุ้นที่ปรับลง 14% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน Underperform กลุ่ม และเทรดบน PE ปี 2562 เพียง 15 เท่า สวนทางกับทิศทางกำไรครึ่งปีแรกปี 2562 ที่แข็งแกร่ง และรับประโยชน์อันดันแรกจากวัฎจักรการลงทุนรอบใหม่ จึงมองเป็นโอกาสเข้าซื้อสะสม

Back to top button