โบรกฯฟัน STEC รับเต็มอานิสงส์เลือกตั้ง ชูพื้นฐานเด่น ลุ้นคว้างานใหม่เพิ่ม

โบรกฯฟัน STEC รับเต็มอานิสงส์เลือกตั้ง ชูพื้นฐานเด่น ลุ้นคว้างานใหม่เพิ่ม


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์หุ้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC หลังนักวิเคราะห์มองว่า STEC จะได้รับอานิสงส์เชิงบวกแนวโน้มผลการเลือกตั้งปี 2562 โดยนักวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลการเลือกตั้งพลังพลังประชารัฐมีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาล ผลการเลือกอย่างไม่เป็นทางการ ฝ่ายพันธมิตรเพื่อไทย มี.สส.ประมาณ 226 ที่นั่ง ไม่ถึง 250 ที่นั่ง

ดังนั้นจึงทำให้สถานการณ์ในการตั้งรัฐบาลยังถือได้ว่าพลังประชารัฐ ยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ และมีอำนาจในการต่อรองกับพรรคขนาดกลางสูงกว่า บนสมมติฐานว่า ส.ว.จำนวน 250 เสียง มีแนวโน้มสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผลจากการที่พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคขนาดกลางที่เป็นเป้าหมายในการร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ อาจส่งผลบวกต่อการเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มชิโนโทย อาทิ STEC, STPI ในระยะสั้นได้

ทั้งนี้แนะนำ “เก็งกำไร” หุ้น STEC ประเมินราคาเป้าหมายที่ 24.50 ล้านบาท โดยปัจจัยบวกทางจิตวิทยาจากการที่ภูมิใจไทยกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการร่วมรัฐบาล

โดยจากการสำรวจพบว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ STEC โดยข้อมูลผู้ถือหุ้นล่าสุด ณ วันที่ 14 มี.ค.2561 ถือหุ้น STEC จำนวน 71,550,128 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.69%

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น STEC ให้ราคาเป้าหมายที่ 28.50 บาทต่อหุ้น โดยมองว่างานประมูลโครงการใหญ่ ๆ ที่รัฐบาลปัจจุบันพยายามผลักดันจะได้เห็นต่อเนื่องหลังผลเลือกตั้งเบื้องต้นชัดเจน ขณะที่ปริมาณงานในมือ (Backlog) ที่มีสูงถึง 1.05 แสนล้านบาท ซึ่งโดดเด่นกว่ากลุ่ม และคาดหวังจะได้งานใหม่กว่า 3 หมื่นล้านบาท จากทางด่วนพระราม 3 รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ สนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น

ด้าน นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินราคาเป้าหมายหุ้น STEC ที่ 31 บาทต่อหุ้น โดยมองว่าธุรกิจมั่นคงด้วยงานในมือที่สูงถึง 1.14 แสนล้านบาท และมีโอกาสได้งานใหม่ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงไฟฟ้า (STEC ถือหุ้น GULF 1.88%) ฐานะเป็นเงินสดสุทธิ 6.6 บาทต่อหุ้น ด้านฐานะการเงินแกร่ง คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้น 22% เป็น 1.58 พันล้านบาท ปัจจุบันมี PE ที่ 22 เท่า คิดเป็น PEG ที่ 1 เท่า ต่ำกว่าในอดีตที่ 1.3-1.5 เท่า

ส่วน นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลการเลือกตั้งของไทยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจัยการเมืองจะคลี่คลายลง และมีโอกาสที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รวมกับพรรคพรรคภูมิใจไทย ,พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเล็กพรรคน้อยอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้มีจำนวนส.ส. รวมเกิน 250 ที่นั่ง ทำให้ความคาดหมายว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลจะต่อเนื่องน่าจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

โดยหุ้นกลุ่มรับเหมาจะได้อานิสงส์จากความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล จึงชื่นชอบ STEC ที่ประเมินว่าการเซ็นสัญญาโครงการใหม่ๆ จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2-3 ปีนี้ หลังมีรัฐบาลใหม่ รวมถึง Momentum ของกำไรยังเร่งตัวขึ้นจากการรับรู้รายได้แบบ S-curve ที่ชันขึ้นของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู และเหลือง

 

Back to top button