ข่าวร้ายในข่าวดี

จะว่าไปแล้ว


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร 

จะว่าไปแล้ว

ปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงเดือนเมษายนนี้มีค่อนข้างมากเลยล่ะ

เริ่มจาก MSCI ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย

และยังเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นหลาย ๆ ตัว ด้วย  ทั้ง SCC, BDMS, CPN, CPALL, BBL, EGCO, LH, KBANK, BANPU, PTT, TU และ  ADVANC

รวมถึงการดันหุ้นเข้าไปคำนวณในดัชนี MSCI อีก เช่น INTUCH, DTAC, RATCH และ CENTEL

ปัจจัยบวกต่อมาคือเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

จากการประชุมของ กนง.ล่าสุด มีมติ 7: 0 เพื่อคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75%

มติที่ออกดมาเป็นเอกฉันท์แบบนี้ ทำให้บรรดานักวิเคราะห์ นักวิจัยของศูนย์วิจัยธนาคารต่าง ๆ ฟันธงออกมาว่า ปีนี้ ดอกเบี้ยจะไม่ขยับขึ้นอีกแน่นอน

นักวิเคราะห์บางคนมองไปด้วยว่า ดอกเบี้ยอาจจะมีปรับลงด้วย

เช่นเดียวกับธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด

ทางเฟด ได้ออกมากล่าวเกี่ยวกับดอกเบี้ยนโยบายแบบมีนัยสำคัญว่า ในปีนี้จะยังไม่ปรับขึ้น จากเดิมที่บรรดานักวิเคราะห์เคยคาดหมายไว้ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2562

หากจำกันได้ ในช่วงปี 2561 ตลาดหุ้นทั่วโลก และของไทย ได้รับผลกระทบจากเฟดขึ้นดอกเบี้ย

ส่งผลให้ตลาดหุ้นหลายแห่งติดลบ รวมถึงของไทย

ตอนนี้ ปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยน่าจะคลี่คลายแล้วทั้งของเฟด และของไทย

ปัจจัยเชิงบวกต่อมาคือ เดือนเมษายนนี้ จะมีหุ้นหลาย ๆ ตัวขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อจ่ายเงินปันผล และน่าจะมีการเข้าลงทุน หรือไล่ราคาหุ้น ส่งผลให้ภาพรวมของดัชนีออกมาเป็นบวกมากกว่าไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

ทว่า จากข่าวดีเหล่านี้ กำลังถูกบดบังด้วยข่าวร้าย

ข่าวร้ายที่ว่านี้เหมือนเป็นเรื่องเก่ามาเล่ากันใหม่ ก็คือ ปัญหาการเมือง และการชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น

แน่นอนว่าบรรยากาศแบบนี้นักลงทุนไม่ชอบ

เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยปิดลบ 2.42 จุด มาที่ 1,649.06 จุด สวนทางกับตลาดหุ้นในภูมิภาค

และสวนทางกับตลาดหุ้นยุโรปด้วย

แม้การที่ตลาดปิดลบ อาจจะมาจากหุ้นไทยวิ่งขึ้นมาแรง 2 วันติดต่อกัน

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บรรยากาศการเมืองที่ร้อนแรงขึ้นทุกขณะนี้ มีส่วนทำให้นักลงทุนต้องหันมาจับตาปัจจัยการเมืองกันอีกครั้งว่าจะมีเหตุรุนแรง หรือสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงหรือไม่

และปัจจัยลบที่เป็นข่าวร้ายนี้ น่าจะทอดยาวไปถึงเดือนพฤษภาคมนี้

ในเดือนดังกล่าว ยังต้องมาลุ้นกันว่า หน้าตารัฐบาลจะออกมาอย่างไร

ขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัว ทำให้มีการคาดหมายกันว่า รัฐบาลชุดใหม่ น่าจะต้องออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนออกมา

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการ บจ. ก็น่าจะขึ้นอยู่กับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

เบื้องต้น นักวิเคราะห์คาดการณ์ผลประกอบการ บจ. แตกต่างกันไปในปีนี้

บางคนให้เติบโต 4-6% และบางคนให้เติบโต 8-10%

ล่าสุด สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2/2562 อยู่ที่เฉลี่ย 1,689 จุด

ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีในระยะสั้น คือเรื่องการเมืองในประเทศ

รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐบาล

ส่วนปัจจัย (ลบ) ที่มีผลรองลงมา คือ สงครามการค้าระหว่างประเทศจีน และสหรัฐฯ

นักวิเคราะห์ฯ มองว่าปัจจัยทางการเมืองอาจจะเป็นผลกระทบทางด้านลบและมีความผันผวนมากขึ้น

พวกเขามองจุดต่ำสุดที่อาจจะเกิดขึ้น คือ 1,583 จุด

Back to top button