พาราสาวะถี

ยังไม่มีความชัดเจนจากกกต.สำหรับสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ล่าสุดแบไต๋กันมาแล้วว่ามีพรรคการเมืองที่อยู่ในข่ายจะได้ส.ส. 25 พรรค นั่นหมายความว่า พรรคเล็กพรรคน้อยที่คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคือ 71,057.4980 คะแนน จะได้ส.ส. 1 ที่นั่งไปด้วย ซึ่งประเด็นนี้ สมชัย ศรีสุทธิยากร ในฐานะอดีตกกต.ได้ทักท้วงต่อเนื่อง วันวานยังตั้งโต๊ะแถลงวิธีคำนวณกันละเอียดยิบ


อรชุน

ยังไม่มีความชัดเจนจากกกต.สำหรับสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ล่าสุดแบไต๋กันมาแล้วว่ามีพรรคการเมืองที่อยู่ในข่ายจะได้ส.ส. 25 พรรค นั่นหมายความว่า พรรคเล็กพรรคน้อยที่คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคือ 71,057.4980 คะแนน จะได้ส.ส. 1 ที่นั่งไปด้วย ซึ่งประเด็นนี้ สมชัย ศรีสุทธิยากร ในฐานะอดีตกกต.ได้ทักท้วงต่อเนื่อง วันวานยังตั้งโต๊ะแถลงวิธีคำนวณกันละเอียดยิบ

ถ้อยแถลงของสมชัยเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้ว่าตัวเองจะถูกเด้งจากเก้าอี้กกต.ก่อนกำหนดด้วยอำนาจมาตรา 44 น่าสนใจกับข้อเสนอที่ว่า กกต.ควรจัดเวทีรับฟังความเห็นจากหลายฝ่าย ทั้งนักกฎหมาย นักคณิตศาสตร์ สุดท้ายเมื่อได้รับข้อมูลครบถ้วนค่อยตัดสินใจว่าสูตรที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ขอให้เอาการติดยึดกับประโยคที่บอกว่า “ถูกแล้ว” ออกไปจากหัวก่อน

ไม่อยากให้กกต.ติดยึดสิ่งที่เคยเผยแพร่ไป ควรเปิดกว้างรับฟังก่อน ไม่มีใครกดดันกกต. กกต.ต้องตัดสินใจเองว่าจะเลือกใช้สูตรใดในการคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ และรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเองด้วย หากคำนวณผิดก็ถือว่าบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นการบกพร่องเจตนาหรือไม่เจตนาต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริง หากบกพร่องโดยตั้งใจทั้ง ๆ ที่สังคมพยายามสะท้อนถึงกกต.แล้วก็ต้องรับผลที่ตามมาด้วย

หากทุกอย่างเป็นไปตามที่คนของกกต.พยายามแสดงถึงความบริสุทธิ์ โปร่งใส รวมทั้งการออกเอกสารข่าวชี้แจงและตอบโต้ผู้ที่ถูกพาดพิงเป็นระยะ ก็เป็นเรื่องที่ชอบแล้วมิใช่หรือที่ กกต.ต้องยึดหลักไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีหน้าตาที่ต้องเสีย แต่ต้องให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ อย่าติดยึดเรื่องการเสียหน้า เมื่อผิดก็แก้ไข เชื่อว่าสังคมเข้าใจ สิ่งสำคัญหากดันทุรังคนไม่ได้มองแค่ว่าเป็นเรื่องของการเสียหน้า แต่จะถูกครหาเป็นเรื่องของการกลัวจะเสียตำแหน่งเสียมากกว่า

อย่าให้มีอำนาจใดมาครอบงำ ถ้าเลือกทำทุกอย่างตรงไปตรงมาก็ย่อมที่จะสามารถทนต่อกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมได้ อีกสิ่งที่หายไปสำหรับองค์กรอิสระแห่งนี้คือ ผู้มีอำนาจโดยตรงอย่าง 7 กกต.ไม่ยอมที่จะเผชิญหน้าหรือชี้แจงแถลงไขผ่านสื่อ จะด้วยเหตุใดก็ตาม ในเมื่อเลือกที่จะเลี่ยง ไม่ยอมที่จะตอบคำถาม ทุกอย่างจึงย่อมที่จะตกอยู่ในความเคลือบแคลงอย่างช่วยไม่ได้ จะอ้างข้อกฎหมายอย่างเดียว คงไม่ช่วยอะไร

สถานการณ์ที่เป็นอยู่ เชื่อได้ว่าผู้นำเผด็จการเองก็คงตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะการเดินเกมพลาดแค่ตาเดียว จากที่จะสืบทอดอำนาจแบบเท่ ๆ จะกลายเป็นผู้นำมือเปื้อนเลือดหรือเป็นทรราชในทันทีทันใด ต่อให้เนติบริกรจะวางแผนไว้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพียงใด ในเมื่อมันไม่เป็นไปด้วยความสุจริตเสียแล้ว ย่อมปราศจากการยอมรับจากสังคม และนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งหายนะของผู้มีอำนาจ

ไม่ต่างอะไรจากการดำเนินคดีกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วยข้อหายืนพื้นมาตรา 116 ปรากฏการณ์ประชาชนไปให้กำลังใจผู้ถูกกล่าวหาที่โรงพักปทุมวันเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ตามมาด้วยการไปร่วมสังเกตการณ์การสอบปากคำของ พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ของเจ้าหน้าที่ทูตและผู้แทนยูเอ็นอย่างล้นหลาม น่าจะเป็นคำตอบได้ว่า ท่าทีของนานาประเทศต่อความเป็นไปทางการเมืองในประเทศไทยหลังเลือกตั้งนั้นเป็นอย่างไร

หลายคนยังสงสัยต่อถ้อยแถลงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่อ้างว่าไม่ได้เชิญผู้แทนทูตเหล่านั้นแต่เป็นธนาธรเชิญมาเอง ไม่รู้ว่าต้องการจะสื่อถึงอะไรหรือเป็นการทำไปตามหน้าที่เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกเล่นงานแค่นั้น เพราะความจริงสาระไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเป็นคนเชิญ หากแต่อยู่ที่ว่าเชิญไปแล้วเขาเหล่านั้นมาตามคำเชิญหรือไม่

ของแบบนี้ต้องบอกว่าถ้าทางสถานทูตไม่เห็นความสำคัญต่อให้เชิญยังไงก็ไม่มา และไม่มีใครที่จะไปบังคับให้มาได้ด้วย จึงไม่เข้าใจว่าโฆษกกระทรวงการต่างประเทศออกมาแถลงเพื่ออะไร สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะสะท้อนให้เห็นว่าการเล่นงานธนาธรรอบนี้เป็นเรื่องไม่ปกติ ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นกระบวนการจัดการเลือกตั้ง

นั่นหมายความว่า สถานทูตเหล่านั้นมีความกังวล เนื่องจากข้อหายุยงปลุกปั่นในทางสากลเป็นข้อหาร้ายแรง ไม่เพียงเท่านั้นคดีที่ธนาธรถูกดำเนินการยังจะต้องนำตัวไปขึ้นศาลทหารด้วย ซึ่งการนำพลเรือนไปขึ้นศาลทหารเช่นนี้ ทางสากลคงไม่มีใครยอมรับ ส่วนเหตุผลที่ว่าคดีเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2558 จึงต้องไปขึ้นศาลทหารนั้น ไม่ได้เพิ่มน้ำหนักให้สังคมเกิดความเชื่อถือ ตรงข้ามยิ่งจะทำให้เกิดข้อกังขาหนักเข้าไปอีก

ไม่เข้าใจอีกเช่นกันว่า ทำไมพวกกองเชียร์เผด็จการจึงชอบสร้างวาทกรรมโลกล้อมไทยทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ ต่างชาติให้ความสนใจเรื่องหนึ่งเรื่องใดอันเกิดขึ้นกับฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามเผด็จการ เพราะความเป็นจริงอย่างที่ผู้นำเผด็จการเองก็ยอมรับว่า ไทยอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องมีเลือกตั้งทั้ง ๆ ที่อำนาจเผด็จการไม่อยากให้มีแน่นอน

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ที่บอกว่า การทำตัวให้ขึ้นอยู่กับมาตรฐานสากลเป็นวิถีทางที่ทำให้ประเทศไทยอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่คอยแต่พล่ามบอกว่าฝ่ายตรงข้ามอำนาจเผด็จการใช้วิธีโลกล้อมไทย ทั้งที่ความจริงหลายกรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่กลเกมใด ๆ แต่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริงที่ทุกคนรู้และเห็นเหมือนกัน ด้วยความดักดานเช่นนี้ไงที่ทำให้มันจึงเดินก้าวข้ามความขัดแย้งไม่พ้น

กลเกมภายในพรรคประชาธิปัตย์ เห็นภาพชัดแล้วว่าไม่เหมือนอดีตที่ผ่านมา รอยปริแยกหนล่าว่าด้วยการไปเดินตามก้นพรรคสืบทอดอำนาจเพื่อดันผู้นำเผด็จการให้สมหวัง สร้างความขัดแย้งรุนแรง ชนิดที่ ชวน หลีกภัย ต้องออกโรงมากระตุกสำนึกสำเหนียกของแกนนำคนอยากร่วมรัฐบาลอย่าง ถาวร เสนเนียม แรง ๆ ก่อนที่จะตามมาด้วยวิวาทะอย่างที่ปรากฏเป็นข่าว คงต้องดูกันยาว ๆ ว่า ความพ่ายแพ้คราวนี้จะเป็นแรงผลักให้พรรคเก่าแก่เกิดความเปลี่ยนแปลงกลับมาเรียกศรัทธาได้หรือจะเสื่อมทรุดจนกู่ไม่กลับ

Back to top button