เกมอำนาจกับอนาคตคนไทย

ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ เปิดทำการวันแรกหลังหยุดยาววันสงกรานต์ สามารถบวกทะลวงแนวต้านยืนเหนือ 1,670 จุด เป็นการทำนิวไฮรอบ 6 เดือน ท่ามกลางคำถามว่าจะทะยานไปต่อเหนือ 1,700 จุดได้หรือไม่


พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล

ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ เปิดทำการวันแรกหลังหยุดยาววันสงกรานต์ สามารถบวกทะลวงแนวต้านยืนเหนือ 1,670 จุด เป็นการทำนิวไฮรอบ 6 เดือน ท่ามกลางคำถามว่าจะทะยานไปต่อเหนือ 1,700 จุดได้หรือไม่

หลายเสียงบอกเป็นไปได้ แต่เสียงทักท้วงเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองน่าจะถ่วงรั้งเอาไว้ โดยเฉพาะเรื่องการยื้อเวลาประกาศสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ของ กกต.ถึงขั้นโยนให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าสูตรคำนวณไหนเหมาะสมที่สุด

ความไม่แน่นอนเช่นนี้คือปัจจัยเสี่ยงทางการเมือง เพราะเท่ากับ การจัดเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมาของ กกต. ไม่มีความชัดเจนในเรื่องกติกามาตั้งแต่ต้น เสมือนหนึ่งการแข่งขันที่ไร้กติกา

หากมองในแง่ลบ นี่คือความพยายามล้มการเลือกตั้งที่ผ่านมาให้เป็นโมฆะ เพราะคนที่มีอำนาจในการออกแบบรัฐธรรมนูญมีเจตนาเคลือบแฝงมาตั้งแต่ต้น เพื่อหวังว่าจะสืบทอดอำนาจตนเองและพวกที่เคยมาอย่างไม่ชอบธรรมให้ยาวนานออกไป

หากท้ายสุดพฤติกรรมของ กกต.ลงเอยตามข้อกล่าวหา จะทำให้เกิดคำถามที่ย้อนแย้งว่า สังคมไทยจะหลุดออกจากวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่เรียกว่า ความเสื่อมถอยแบบเกลียวก้นหอย ได้อย่างไรโดยมีความเสียหายต่ำสุด

นานมาแล้วนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษที่ยิ่งใหญ่อย่าง อาร์โนลด์ ทอยน์บี สรุปไว้ชัดเจนว่า อารยธรรมที่จะไม่ตกอยู่ภายใต้วงจรอุบาทว์ของการเสื่อมถอยแบบเกลียวก้นหอย ขึ้นกับเงื่อนไขที่อารยธรรมนั้นยินยอมให้เกิดมีชนชั้นนำแบบกาฝากหรือปรสิตได้หรือไม่

วิธีการสร้างภูมิคุ้มกันหลักอยู่ที่การสร้างกลไกเปลี่ยนแปลงผู้ครอบงำรัฐให้เกิดความกระตือรือร้นอย่างต่อเนื่องอย่างสอดคล้องกับกาลเทศะ คงไม่มีทางไหนดีกว่าเปลี่ยนตัวบ่อย ๆ จนคุ้นเคยแล้วอาศัยโครงสร้างค้ำยันเอาไว้

โครงสร้างค้ำยันที่ว่าคือการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของมวลชนที่เรียกกันว่าระบอบประชาธิปไตย

เรื่องนี้นักคิดอย่างอันโตนิโอ กรัมชี่ ก็เคยสาธยายเอาไว้ชัดเจนในการอธิบายเรื่องสงครามกระบวนทัศน์ ที่แปรมาเป็นสงครามขับเคลื่อน

แนวคิดของกรัมชี่ชี้ชวนให้เราเห็นความสำคัญของการวิเคราะห์ปัญหาในมิติเชิงโครงสร้างส่วนบน กรัมชี่ชี้ให้เราเห็นว่าโครงสร้างส่วนบน ที่ถูกควบคุมโดยชนชั้นปกครอง โดยจะใช้กลไกการใช้กำลังบังคับในการจัดการทางการเมือง แต่การใช้กลยุทธ์ดังกล่าวจะมีลักษณะไม่ถาวร  และยิ่งใช้มากยิ่งมีการต่อต้านมาก สิ่งที่ชนชั้นปกครองมักเลือกใช้ควบคู่กันไปคือ กระบวนการสร้างความยินยอมพร้อมใจ (Consent) โดยผ่านกลไกรัฐด้านอุดมการณ์ เพื่อแทรกซึมในระดับชีวิตประจำวัน/สามัญสำนึก กับชนชั้นที่ถูกปกครองผ่านประชาสังคม และสังคมการเมือง รัฐทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องมือการครอบงำทางชนชั้นและคอยอำนวยความสะดวกให้ชนชั้นนายทุนในการกดขี่/ขูดรีดส่วนเกินจากคนชั้นล่าง

ดังนั้น  ชนชั้นล่างจะรวมตัวกันใช้กลยุทธ์ สงครามเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อต่อสู้และแย่งชิงอำนาจรัฐควบคู่ไปกับ สงครามช่วงชิงพื้นที่ทางความคิด หรือสงครามกระบวนทัศน์ ซึ่งเป็นกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจคนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การปฏิวัติเพื่อสังคมที่ดีกว่ามีความเสมอภาค

สาระที่แท้จริงของการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เห็นได้ชัดว่า เป็นชัยชนะทางกระบวนทัศน์ของความกล้าหาญที่คนในสังคมของเราได้แสดงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์อย่างเข้าถึง และพัฒนาว่า ยุคสมัยแห่ง คนบัญชา เหนือกว่า ฟ้าลิขิต ได้สถาปนาขึ้นมาอย่างมั่นคงแล้ว

มองในมุมบวก นี่เป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่เป็นฝันร้ายสำหรับคนประเภทไดโนเสาร์ทางปัญญาที่แท้จริง เพราะเป็นกระบวนการสานต่อภารกิจของนักต่อสู้เพื่อปัญญาอันส่งทอดต่อกันมานับแต่ยุคของโซฟิสท์แห่งกรีกโบราณ พุทธโคตมะ และนักคิดทั้งหลายในโลกที่มุ่งมั่นกับการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ว่า ปัญญาและเหตุผล นำทางให้มนุษยชาติกลับสู่อนาคตที่ดีกว่าเหนือศรัทธาอันงมงาย

ชัยชนะดังกล่าว หากไม่เอ่ยอ้างเกินจริง หมายถึงการที่แนวคิดเรื่องประชาธิปไตยในสังคมไทยได้ยกระดับเติบโตมาพร้อมกับกระบวนทัศน์ว่าด้วยรัฐประชาชาติ เศรษฐกิจทุนนิยม และวัฒนธรรมปัจเจกชนนิยม ก้าวใหญ่ ๆ เลยทีเดียว

คะแนนเสียงจากการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 8 ปี ที่มวลชนผู้มีสิทธิลงคะแนนได้ตัดสินใจหย่อนลงในกล่องบัตรเลือกตั้งที่ออกมา ไม่ว่าจะผ่านกระบวนการที่บิดเบือนหรืออามิสปะปนอยู่ ก็ยังคงมีคุณค่ายืนยันว่าเสมือนเสียงปลุกประชาชนให้ตื่นขึ้น

ชัยชนะท่วมท้นในหีบคะแนนเสียงเลือกตั้งอาจจะเกิดจากเจตจำนงของมวลชนอย่างปราศจากข้อสงสัย แต่เป็นเจตจำนงที่วูบไหวง่ายเพราะเกิดจากองค์ประกอบทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้

การพยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อปฏิเสธเสียงของมวลชน เพื่อเอาใจผู้มีอำนาจหยิบมือเดียว เป็นการใช้อำนาจมืดสมคบคิดตบหน้าหรือบดขยี้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่า โลกและสังคมกำลังหมุนเร็วรับการท้าทายใหม่ ๆ ในอัตราเร่ง ไม่มีทางจะขัดขวางไว้ได้

คำถามคือ มวลชนจะคิดอย่างไรที่รู้โดยถ่องแท้ว่า การเลือกตั้งที่ล้างผลาญเงินงบประมาณไปมากถึง 5.8 พันล้านบาทเป็นเพียงแค่ความสูญเปล่าแบบสามล้อถูกหวย เพียงเพราะความหวั่นกลัวเกินจริงจากกลุ่มคนที่พยายามเอ่ยอ้างว่าโศกเศร้ากับการเผาโรงหนัง-ศูนย์การค้า เหนือกว่าการเสียชีวิตของมนุษย์ที่เป็นเพื่อนร่วมชาติที่เกิดจากอำนาจรัฐ เพียงเพราะว่า เขาไม่ใช่พวก เขาไม่ได้คิดอย่างตน และถูกประเมินว่า “ต่ำกว่า” กลุ่มคนเหล่านี้

อีกไม่นาน นักลงทุนจะรู้ว่า ความเสี่ยงทางการเมืองของไทยจะมากน้อยแค่ไหน

Back to top button