พาราสาวะถี

การประกาศส.ส.บัญชีรายชื่อของกกต.ที่ใช้สูตรกรธ.ทำให้มีถึง 26 พรรคการเมืองได้ส.ส. ไม่นับรวมเพื่อไทย เท่ากับว่าในสภาผู้แทนราษฎรหนนี้จะมีพรรคการเมืองทั้งสิ้น 27 พรรค ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของขบวนการสืบทอดอำนาจ เท่ากับว่าจำนวนส.ส.ที่ถูกเฉลี่ยผ่านการคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ที่ยังเกิดข้อกังขานั้น ส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐสามารถที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำได้ทันที


อรชุน

การประกาศส.ส.บัญชีรายชื่อของกกต.ที่ใช้สูตรกรธ.ทำให้มีถึง 26 พรรคการเมืองได้ส.ส. ไม่นับรวมเพื่อไทย เท่ากับว่าในสภาผู้แทนราษฎรหนนี้จะมีพรรคการเมืองทั้งสิ้น 27 พรรค ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของขบวนการสืบทอดอำนาจ เท่ากับว่าจำนวนส.ส.ที่ถูกเฉลี่ยผ่านการคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ที่ยังเกิดข้อกังขานั้น ส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐสามารถที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำได้ทันที

ขณะเดียวกันสองพรรคการเมืองแทงกั๊กทั้ง ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย คงต้องถึงเวลาที่จะเผยโฉมที่แท้จริง ไม่มีอะไรต้องมาเหนียม งานนี้อย่างที่รู้กัน กระทรวงเกรดเอจะต้องตกมาอยู่ในมือของสองพรรคอย่างน้อยพรรคละ 2 กระทรวง ถ้าเงื่อนไขนี้ถูกปฏิเสธก็ยากที่พรรคสืบทอดอำนาจจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำได้ ส่วนประเด็นเรื่องนายกรัฐมนตรียังชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่หรือไม่ ถ้ายึดตามกฎ กติกาและมารยาทก็ต้องเป็นไปตามนั้น

เพียงแต่อาจเกิดข้อคำถามว่า แล้วพรรคที่แสดงตัวว่าไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของหัวหน้าเผด็จการจะไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจกันเลยหรือ หากยึดเรื่องผลประโยชน์ลงตัว ก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัวหรือมานั่งตอบคำถามกองเชียร์ เนื่องจากฝ่ายที่สนับสนุนไม่ว่าจะทั้งประชาธิปัตย์หรือภูมิใจไทย ไม่ได้อินังขังขอบอยู่แล้วว่าใครจะมาเป็นผู้นำ ยิ่งพวกถือหางพรรคเก่าแก่ ยิ่งเห็นดีเห็นงามเสียด้วยซ้ำกับการกลับมาของผู้นำคณะรัฐประหาร

แว่ว ๆ จากการเจรจาเบื้องต้น พรรคของ อนุทิน ชาญวีรกูล ขอกระทรวงคมนาคมกับสาธารณสุข ไม่รู้ว่าจะพ่วงที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยหรือไม่ซึ่งอย่างหลังคงยากเพราะพรรคแกนหลักจองไว้ตั้งแต่ยังไม่ได้มีการหาเสียงเลือกตั้ง เหตุผลที่เสี่ยหนูเลือกสองกระทรวงดังว่า เพื่อเดินหน้านโยบายที่หาเสียงไว้ทั้งแกร็บถูกกฎหมายและกัญชาสร้างรายได้ ส่วนประชาธิปัตย์ต้องรอดูก่อนว่าหัวหน้าพรรคใครจะขึ้นมากุมบังเหียน

หากเป็นในสายเศรษฐกิจก็หนีไม่พ้นกระทรวงการคลังและพาณิชย์ แต่ถ้าเป็นซีกการเมืองก็ต้องเป็นในส่วนของกระทรวงมหาดไทยและศึกษาธิการ งานนี้เชื่อขนมกินได้ก่อนจะไปจัดสรรให้กับระดับนำของพรรคสืบทอดอำนาจ ต้องผ่านการยื่นหมูยื่นแมวกับพรรคตัวแปรสำคัญทั้งคู่เสียก่อน นี่ยังไม่นับรวมพรรคเล็กพรรคน้อยที่แม้จะได้เก้าอี้ส.ส.เป็นการตอบแทน แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเมื่อเข้าสภาได้ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยผลประโยชน์

เพียงแค่เก้าอี้ส.ส.ไม่เพียงพอแน่นอน อยู่ที่ว่าจะจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีระดับเกรดเอเกรดซีเป็นของแถม หรือตำแหน่งแห่งหนในฝ่ายนิติบัญญัติขึ้นอยู่กับการเจรจา ที่แน่ ๆ จากที่ไร้ความหวังไปแล้วกลับมาได้เป็นท่านผู้ทรงเกียรติ คนเหล่านั้นก็มีมูลค่าขึ้นมาในทันทีทันใด เพียงแต่การควักกระเป๋าอาจจะไม่เท่ากับการไปไล่ซื้องูเห่ากันก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความกระสันที่ต้องการจะสืบทอดอำนาจ ทุกคะแนนเสียงไม่มีของฟรีอย่างแน่นอน

ด้วยกลไกของเนติบริกรที่ซ่อนซุกทุกอย่างจนสุดท้ายเหมือนเป็นการวางกับดักตัวเองนี่เอง ความเห็นของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกินเลยจากความจริงเท่าไหร่ ใช้สูตรไหนคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ไม่สำคัญ ตั้งรัฐบาลได้แน่นอนตามใจปรารถนา แต่กระซิบไว้หน่อย แค่ผลักเบา ๆ รัฐบาลใหม่ก็ลื่นล้ม ต้องมาล้างไพ่ ล้างตากันใหม่ เลือกตั้งรอบหน้าเหนื่อยแน่ เพราะประชาชนเขารู้ทันเสียแล้ว ตรงนี้แหละที่ต้องขีดเส้นใต้ การรู้ทันของประชาชน จะส่งผลต่อพรรคสืบทอดอำนาจ พรรคใหญ่หรือพรรคเล็กทั้งหลายแหล่

แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เอาเฉพาะประเด็นการคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ของกกต. ไม่รู้ว่าที่จองกฐินกันไว้ก่อนหน้านี้จะทอดกันเมื่อไหร่ หมายถึงจะมีความเคลื่อนไหวในแง่ของการดำเนินคดีกันอย่างไร ที่แน่ ๆ คือพรรคอนาคตใหม่ที่เสียเก้าอี้จากสูตรนี้ของกกต.ไปถึง 7 ที่นั่ง ฐานะอดีตอาจารย์ด้านกฎหมาย ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคคงไม่ปล่อยผ่านไป คำถามที่ตามมาคือด้วยกลไกและองคาพยพที่เขาจัดวางกันไว้ มันจะสามารถเป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้องได้หรือเปล่า

สิ่งที่เห็นคือก่อนการประกาศผลของกกต. ทุกท่วงท่าที่ขยับล้วนแล้วแต่มีความหมาย และการสอดรับของสิ่งที่เรียกว่าการตีความข้อกฎหมายนั้นก็เอื้ออำนวยกันอย่างสุด ๆ ด้วยเหตุนี้ สมชัย ศรีสุทธิยากร จึงต้องออกมาให้คะแนนพร้อมกับสะกิดเตือนกกต.ด้วยความเป็นห่วง กกต.คำนวณตามมาตรา 128 ผิด โดยหายไปหนึ่งขั้นตอน จะโดยตั้งใจหรือไม่ไม่รู้ เพราะข้ามขั้นตอนในมาตรา 128(5) ของกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.

กรณีนี้สมชัยแนะนำว่าคนที่มีส่วนได้เสียต้องไปคิดว่าจะใช้สิทธิดำเนินการอย่างไรหรือไม่ ขณะที่เอกสาร กกต.ที่ใช้ประกอบการแถลงรับรองส.ส.บัญชีรายชื่อจำนวน 14 หน้านั้น อดีตกกต.รายนี้ระบุทำถูกแค่ 7 หน้าเท่านั้น หมายความว่าได้คะแนนแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ในการทำการบ้านข้อนี้ ทั้งที่มีคนแนะนำแล้วแต่ยังทำผิดความจริงสมควรได้คะแนนต่ำกว่า 50 เสียด้วยซ้ำไป แต่ทั้ง 7 คนคงไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว มิเช่นนั้น คงไม่ยึกยักชักช้าลีลากันจนความเชื่อถือเชื่อมั่นหดหายอย่างที่เป็นอยู่

ไม่เพียงสมชัยเท่านั้นที่ตั้งข้อสังเกตแม้กระทั่ง ราเมศ รัตนเชวง มือกฎหมายพรรคเก่าแก่ก็ไม่เห็นด้วย โดยชี้ว่ากกต.ใช้ 2 มาตรานี้คือ มาตรา 91 กับมาตรา 128 ของกฎหมายเลือกตั้งส.ส. ในการคำนวณส.ส. แบบบัญชีรายชื่อผิดไปจากหลักการความถูกต้อง เป็นการคำนวณที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ดังนั้นพรรคเก่าแก่จึงดำเนินการตามกฎหมายเพื่อตามหาความสุจริตและเที่ยงธรรมต่อไป นี่แหละที่น่าสนใจ

ไม่รู้ว่าจะมีกี่พรรคการเมืองที่รุมสหบาทา หากมีแค่ 7 พรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่ประกาศจับมือกันก่อนหน้าอาจถูกมองได้ว่ามีอคติ แต่พอประชาธิปัตย์แสดงออกแบบนี้ก็เป็นภาพสะท้อนของความไม่ชอบมาพากลได้อย่างหนึ่ง แต่ที่ตรงไปตรงมาคือ รังสิมันต์ โรม ว่าที่ส.ส.ของอนาคตใหม่กับการบอกว่า สิ่งที่กกต.ทำเรียกว่า “การคอร์รัปชันไม่เห็นหัวประชาชน” ซึ่งคนที่ถูกโจมตีคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะเขามองเห็นเงาของใครตะคุ่ม ๆ ที่อยู่ข้างหลังสำคัญกว่าหัวประชาชน

Back to top button