พาราสาวะถี

ไม่น่าเชื่อว่า ขนาดรัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อพวกเรา ขนาดป่าวประกาศ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เหนือกว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากทุกพรรคการเมืองด้วยมี 250 เสียงส.ว.ลากตั้งอยู่ในมือ แต่จนป่านนี้ พรรคพลังประชารัฐก็ยังไม่สามารถปิดเกมการตั้งรัฐบาลได้ ทำได้แค่ให้กระบอกเสียงและแกนนำบางรายออกมาป่าวประกาศผ่านสื่อ แสดงความมั่นใจเป็นแกนนำดันผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสำเร็จอย่างแน่นอน


อรชุน

ไม่น่าเชื่อว่า ขนาดรัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อพวกเรา ขนาดป่าวประกาศ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เหนือกว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากทุกพรรคการเมืองด้วยมี 250 เสียงส.ว.ลากตั้งอยู่ในมือ แต่จนป่านนี้ พรรคพลังประชารัฐก็ยังไม่สามารถปิดเกมการตั้งรัฐบาลได้ ทำได้แค่ให้กระบอกเสียงและแกนนำบางรายออกมาป่าวประกาศผ่านสื่อ แสดงความมั่นใจเป็นแกนนำดันผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสำเร็จอย่างแน่นอน

ตั้งแต่หลังเลือกตั้ง จนกระทั่งขีดเส้นว่าหลัง 9 พฤษภาคมจะสามารถประกาศความชัดเจนได้ แต่จนป่านนี้ล่วงเลยมาเกือบสัปดาห์แล้ว ยังไม่เห็นตัวเลข ยังไม่เห็นรายชื่อว่า มีพรรคใดสนับสนุนหรือจับมือกับพลังประชารัฐตั้งรัฐบาลบ้าง มีเพียงพรรคเล็กพรรคจิ๋วที่ได้ส.ส.ไม่พึงมีเท่านั้นที่ยืนยันหนักแน่น สนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อไป แม้ปากจะบอกว่าไม่ได้มีการต่อรองใดๆ แต่ในทางการเมือง ไม่มีใครเชื่อว่าการจะได้เก้าอี้ใหญ่โตนั้นไม่ต้องลงทุนอะไร

ตราบใดที่พรรคตัวแปรสำคัญอย่าง ประชาธิปัตย์ที่มีเสียง 52 ส.ส. และ ภูมิไจไทย ที่มีส.ส. 51 เสียง ยังไม่ประกาศความชัดเจนว่าถือหางฝ่ายไหน ไม่มีใครกล้ายืนยันเป็นมั่นเหมาะหรอกว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะหากยึดตามแนวทางข่าวที่ออกมา การเปิดทางเลือกเป็นขั้วที่ 3 เพื่อตั้งรัฐบาล โดยชู อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถ้าเพื่อไทยและอนาคตใหม่เซย์เยส นั่นก็หมายความว่า เสียงของส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงที่ตระเตรียมกันไว้จะกลายเป็นหมันไปในทันที

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คำว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ในมิติทางการเมืองนั้นยังคงใช้ได้เสมอ เพียงแต่ว่าความเชื่อของคนส่วนใหญ่ยังมองไปที่ความได้เปรียบของพรรคสืบทอดอำนาจ เนื่องจากมีการวางกลไกต่าง ๆ ไว้เป็นกับดัก เมื่อบวกเข้ากับเงื่อนไขก้อนโตของพรรคตัวแปรสำคัญ ถ้าทุกอย่างโอเค ทั้งประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องไปเสี่ยงกับพรรคที่ถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์กับคณะเผด็จการ ดังนั้น จึงอยู่ที่ว่าผลประโยชน์ที่ยื่นไว้วิน-วินหรือไม่

มุมอันแหลมคมและการขยับอย่างไม่เกรงกลัวแรงเสียดทานใดๆของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งการขับเคลื่อนที่น่าจับตามองไม่น้อย เมื่อฝ่ายประชาธิปไตยโดยเฉพาะพรรคนายใหญ่มองเห็นตรงกันว่า เลือกตั้งหนนี้ไม่จำเป็นที่ว่าคนของพรรคที่ชนะเลือกตั้งต้องก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำประเทศ แต่ควรที่จะให้ใครก็ได้ที่เป็นตัวกลางแล้วทุกพรรคยอมรับร่วมกันขึ้นไปเป็นผู้นำ เพื่อล้มล้างผลพวงของคณะรัฐประหาร จึงไม่ใช่งานง่ายของเผด็จการคสช.ที่จะจับใครให้เป็นพวกใครก็ได้เหมือนที่ผ่านมา

ความมั่นใจโดยไม่แยแสว่าตัวเองจะถูกเล่นงานจากคดีที่มีคนขยันร้องอยู่เนือง ๆ หรือไม่ของธนาธร อาจเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้คนในสังคมได้แสดงออกร่วมกัน ในการที่จะกดดัน เรียกร้องให้พรรคการเมืองเคารพเสียงของประชาชน ที่ชัดเจนว่า ต้องการรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ เพื่อเศรษฐกิจของชาติจะได้ก้าวผ่านความอัตคัดขัดสนที่เผชิญกันมาตลอดระยะเวลา 5 ปีนี้ไปเสียที

เป็นที่รับรู้ร่วมกัน หากได้คนหน้าเดิมมาเป็นผู้นำ แล้วทีมเศรษฐกิจยังเป็นพวกเดิม ไม่ต้องมองกันต่อไปว่าความยากแค้นแสนเข็ญของผู้คนจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร ลำพังการเติมเม็ดเงินผ่านบัตรคนจนนั้นไม่ได้สร้างความจีรังยั่งยืนในการที่คนส่วนใหญ่จะสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของ ตัวเอง มิหนำซ้ำ ภาพยังชัดว่าเม็ดเงินที่เติมเข้าไป ส่วนใหญ่ตกไปอยู่ในมือของเจ้าสัวและขาใหญ่ไม่กี่ราย ที่ถูกมองต่อไปอีกว่า น่าจะแปรสภาพมาเป็นเงินหนุนในช่วงการหาเสียงจนกระทั่งถึงการรวมเสียงเพื่อสืบทอดอำนาจที่ดำเนินอยู่

สิ่งที่จะต้องดูกันหลังจากนี้คงเป็นเรื่องของความใจถึงจากฝ่ายที่ต้องการเสียงหนุนว่าจะลงทุนกันเพิ่มขนาดไหน ในเมื่อตัวเลขของการเร่ซื้องูเห่าก่อนหน้านี้ขยับไปแตะเลข 8 หลักจนเลยไปถึง 9 หลัก ถ้าเพิ่มออฟชั่นเก้าอี้ตัวโตเป็นการตามใจพรรคตัวแปรสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายสืบทอดอำนาจ ทุกอย่างก็คงจบเร็ว ภายในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่พรรคเก่าแก่ได้ตัวหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารชุดใหม่ ก็น่าจะได้เห็นทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น

ส่วนการประเมินท่าทีของผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคนั้น แม้กระทั่งคนอย่าง ชวน หลีกภัย ราคาความน่าเชื่อถือ หลังจากที่ไม่สามารถใช้ความแข็งแกร่งของใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งรักษาฐานเสียงของพรรคในภาคใต้ได้ รวมถึงบ้านเกิดของตัวเองอย่างเขต 1 จังหวัดตรังได้ คำถามที่หลายคนอยากรู้ก็คือ วันนี้คำพูดของอดีตนายกฯ 2 สมัยยังมีมนต์ขลังเหมือนเดิมหรือไม่ ยิ่งได้ฟังการพูดถึงท่าทีต่อส.ว.ลากตั้งล่าสุด ก็แทบจะทำให้เห็นแนวโน้มของทางเดินพรรคเก่าแก่ได้อยู่พอสมควร

การอ้างว่าพรรคไม่ได้เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่ช่วงที่มีการรณรงค์คัดค้านจนบางพวกถูกจับกุมและดำเนินคดีทางกฎหมาย พรรคเก่าแก่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนับสนุนกับคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยการกั๊ก ขนาดล่าสุดถ้อยแถลงของชวนเองก็ยังออกตัวว่า ถ้าจะให้มีแสดงความเห็นในตอนนี้ว่าไม่เห็นด้วยคงไม่มีประโยชน์ เมื่อกฎหมายออกมาแล้วทุกคนต้องปฏิบัติตาม นั่นหมายความว่า ถ้าประชาธิปัตย์ตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วจะถือว่าเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายใช่หรือไม่

ทั้งๆที่ความเป็นจริงต้องอธิบายกันต่อไปว่า กฎหมายที่นำมาใช้นั้นมีที่มาอย่างไร และเมื่อใช้แล้วเกิดปัญหาอะไรบ้าง ในฐานะคนที่ค้านและไม่ยอมรับ ก็ต้องแสดงท่าทีอย่างแข็งกร้าวว่าจะไม่ยอมรับกับองคาพยพที่ได้รับอานิสงส์จากกฎหมายเหล่านั้นด้วย พอเล่นบทเช่นนี้ก็พอที่จะมองเห็นว่าบทบาทของประชาธิปัตย์หลังได้คณะกรรมการบริหารชุดใหม่จะเป็นไปอย่างไร แน่นอนว่าจะตามมาด้วยวาทกรรมปกป้องตัวเองเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

การเมืองว่าด้วยการตั้งรัฐบาล นาทีนี้ดูท่าว่าจะมีความคึกคักเฉพาะฝั่งของพรรคสืบทอดอำนาจ ทางฝ่าย 7 พรรคที่ประกาศสัตยาบันร่วมกันก่อนหน้านั้น นอกจากอนาคตใหม่แล้ว ที่เหลือโดยเฉพาะเพื่อไทยดูเงียบผิดปกติ ซึ่งคงไม่ใช่การยอมรับสภาพหลังจากได้เห็นสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ของกกต.เป็นแน่แท้ แต่การนิ่งที่ภาษาจอมยุทธ์เรียกกันว่าสงบสยบความเคลื่อนไหวนั้นน่ากลัวไม่ใช่น้อย มี 2 ทางคือ นิ่งเพราะไม่รู้จะทำยังไง กับรอหัวเราะทีหลังดังกว่า ถ้าเป็นอย่างหลังก็บอกได้ว่ามันบ่แน่ดอกนาย

Back to top button