รัฐบาลของ 250 ส.ว.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุยว่าจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก มีเสถียรภาพ เป็นรัฐบาลของประเทศ ของประชาชน ไม่ใช่รัฐบาลของพรรคใดพรรคหนึ่ง


ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุยว่าจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก มีเสถียรภาพ เป็นรัฐบาลของประเทศ ของประชาชน ไม่ใช่รัฐบาลของพรรคใดพรรคหนึ่ง

ฟังแล้วหล่อจัง ได้โอกาสช่วงชิงคะแนน ระหว่างที่โพลบ่นเบื่อนักการเมือง จัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัว แก่งแย่งเก้าอี้ จนตั้งรัฐบาลไม่ได้สักที

ทั้งที่พวกแก่งแย่งกัน ก็คือพวกกระสันร่วมรัฐบาลกับท่านผู้นำ จนบางพรรคหวิดแตกกัน เพราะตระบัดคำมั่นสัญญาไว้ให้กับประชาชน ขณะที่นักการเมืองอีกฝ่าย 7 พรรคต้านสืบทอดอำนาจ ยังคงคำมั่นเหนียวแน่น โพลก็ยังเหมารวมว่าการเมืองแย่ลง เบื่อหน่ายมากขึ้น

การเมืองแย่เพราะอะไร ก็เพราะกติกาไม่เป็นประชาธิปไตย ตั้ง 250 ส.ว.มาเลือกตัวเอง มาเป็นเสียงชี้ขาดเลือกนายกฯ แทนที่การจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นเรื่องของ ส.ส. 500 คน ใครรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งก็เป็นนายกฯ นี่กลับเริ่มจากใครกุมเสียง 250 ส.ว. ก็ชิงตั้งรัฐบาล

7 พรรครวมกันได้ 253 เสียง แม้โดนสูตรทศนิยมมนุษย์ ลดเหลือ 246 แต่ถ้าไม่มี 250 ส.ว. ขออีก 10 กว่าเสียงก็ตั้งรัฐบาลได้ โดยพรรคอื่นที่เข้าร่วมไม่สามารถเล่นตัว ขณะที่ใน 7 พรรคเมื่อประกาศแนวทางหลักร่วมกัน แม้ต้องเจรจาจัดสรรตำแหน่ง ก็ตกลงกันได้ไม่ยาก

แต่นี่กลับกัน พรรคพลังประชารัฐ 116 เสียงกลายเป็นแกนนำ เพราะกติกา 250 ส.ว.+126 ส.ส.ก็เป็นนายกฯ ได้ แล้วไปรวมพรรคจิ๋วพรรคเล็ก 17 พรรค เป็น 150 เสียง ไม่ต้องแยแสพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ก็สามารถโหวต พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

เพียงแต่ถ้าจะเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ก็ต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง จึงต้องพึ่ง ปชป. ภท. ซึ่งก็ทำให้ทั้งสองพรรคมีอำนาจต่อรองสูง สามารถ “โก่งค่าตัว” โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองพรรคไม่ได้หาเสียงหนุนประยุทธ์ ไม่มีจุดร่วมกันมาก่อน ปชป.ยิ่งแล้วใหญ่ มาร์คประกาศไม่เอาประยุทธ์ แล้วแพ้ พปชร.ทั้งในกรุงและภาคใต้ หากจะให้กลืนคำก็ต้อง “จ่ายแพง” คือทั้งต้องรับปากแก้รัฐธรรมนูญ ยอมรับนโยบายประกันราคาพืชผลการเกษตร พร้อมรัฐมนตรีเกษตร พาณิชย์

ต้นตอของความไม่ลงตัว คือแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้คะแนนนิยมไม่มากพอ อย่าคุยว่าได้ 8.4 ล้านเสียง เพราะรวมพรรคกำนัน พรรคไพบูลย์ ก็แค่ 8.9 ล้านเสียง ราว 1 ใน 4 ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง (แต่โพลครั้งล่าสุดกลับบอกว่าเหมาะเป็นนายกฯ ต่อถึง 61% ไม่รู้มาจากไหน)

ขณะที่พรรคฝ่ายต้านสืบทอดอำนาจรวมกันได้ 16.5 ล้านเสียง โดยไม่นับ 3.9 ล้านเสียงของ ปชป. ที่แม้แยกแยะไม่ได้ ก็มีคนส่วนหนึ่งเห็นด้วยกับอภิสิทธิ์ ส่วนที่เหลือเลือกพรรคอื่นด้วยตัวบุคคลหรือนโยบาย เช่นเลือกภูมิใจไทยเพราะกัญชา

การเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านพ้นไป สู้กันในประเด็นหลัก “เอา-ไม่เอาตู่” ซึ่งผลออกมาฝ่ายไม่เอาเหนือกว่าหนึ่งเท่าตัว แต่ 250 ส.ว.กลับเป็นเสียงชี้ขาด เอื้อให้ พปชร.กวาดต้อนทุกพรรคเข้ามาร่วม แล้วก็ต้องต่อรองด้วยผลประโยชน์ล้วน ๆ ไม่เว้นแม้ในพรรคตัวเอง

นี่คือการเมืองที่ถอยหลังด้วยกติกาไม่เป็นประชาธิปไตย ด้วยการใช้ทุกวิถีทางเพื่อสืบทอดอำนาจ ล่อใจกลุ่มก๊วนต่าง ๆ ด้วยผลประโยชน์ต่างตอบแทน แล้วยังหันมาด่านักการเมืองว่าแก่งแย่ง

ถ้าสังคมหลงกระแส ก่นด่านักการเมือง ขณะที่คนตั้งพวกตั้งญาติลอยตัว เดี๋ยวก็คงซ้ำรอยยุคถนอม ตั้งพรรคดูดนักการเมือง จนเป็นนายกฯ สมใจ แต่พอบริหารไม่ได้ ก็ด่านักการเมืองเลว แล้วรัฐประหารตัวเอง

Back to top button