SET50 ครึ่งปีแรก”ขึ้นมากกว่าลง” พร้อมชู 11 หุ้นเน้นต่ำบุ๊ก-Laggard เป้า Fund Flow ไหลเข้า

SET50 ครึ่งปีแรก"ขึ้นมากกว่าลง" พร้อมชู 11 หุ้นเน้นต่ำบุ๊ก-Laggard เป้า Fund Flow ไหลเข้า


ผ่านไปแล้วสำหรับการลงทุนครึ่งปีแรก 2562 แน่นอนการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีทิศทางสดใสและปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังมีหลายปัจจัยบวกเข้ามาหนุน อาทิ ความชัดเจนทางการเมืองซึ่งโหวตเลือกพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ

อีกทั้ง Fund Flow ต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในไทยหลังจากบรรยากาศการลงทุนที่ยังเป็นบวกจากกระแสคาดการณ์ว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งยังหนุน Sentiment บวกต่อกลุ่ม Global Play

ล่าสุดการเจรจาสหรัฐฯ – จีนได้สงบศึกการค้าชั่วคราว อีกทั้งนโยบายการเงินทั่วโลกผ่อนคลาย คาดจะเป็นแรงหนุนเงินทุนต่างชาติจ่อไหลเข้าต่อเนื่อง ดังนั้นคาดว่ากลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ยังเป็นเป้าหมายสำหรับนักลงทุนเช่นกัน

โดยจากการสำรวจของทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเทียบได้จากดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET) ณ วันที่ 28 ธ.ค. 2561 อยู่ที่ระดับ 1,563.88 จุด มายืนอยู่ที่ระดับ อยู่ที่ระดับ 1730.34 จุด ณ วันที่ 28 มิ.ย.62 บวกไป 166.47 จุด หรือเพิ่มขึ้น 10.64% ส่วนดัชนี SET50 ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาโดยเทียบได้จากดัชนี ณ วันที่ 28 ธ.ค. 2561 อยู่ที่ระดับ 1,044.92 จุด มายืนอยู่ที่ระดับ 1074.87 จุด ณ วันที่ 28 มิ.ย.62 บวกไป 105.93 จุด หรือเพิ่มขึ้น 10.13%

โดยกลุ่มหุ้น SET50 ที่ปรับตัวขึ้นตามภาวะตลาดในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีหุ้นปรับตัวขึ้นได้มากถึง 39 ตัว โดยบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG เป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงสูงสุดในกลุ่มโดยราคาหุ้นในช่วง 6 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 139%  จากยืนที่ระดับ 30.75 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 42.75 บาท ณ วันที่ 28 มิ.ย.62 โดยได้รับแรงหนุนจากแผนธุรกิจเด่นและคาดว่าปีนี้จะเป็นปีทองของ CBG เนื่องจากกำไรจะ Turnaround อย่างชัดเจน หลังจากที่กำไรปกติเติบโตติดลบ 2 ปีติดต่อกัน โดยปัญหาสำคัญได้รับการแก้ไข ส่งผลให้ปีนี้กำไรเติบโตโดดเด่น

ด้านหุ้นที่ปรับตัวลดลง 11 ตัว BJC,DELTA,BBL,BPP,GLOBAL,BH,PTTGC,TMB,ROBINS,IRPC และ IVL ตรงนี้ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้เข้าเก็บหุ้นพื้นฐานดีขึ้นช้ากว่าตลาด (Laggard)
และคาดว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมาย Fund Flow
ไหลเข้าในระยะนี้ นอกจากนี้หากสังเกตจะพบว่ามีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี อาทิ TCAP, KTB,BANPU, BBL,PTTGC และTMB 

ขณะเดียวกันหากสังเกตอีกด้านยังพบว่ามีหุ้นหลายตัวต่ำกว่า P/E ตลาดหลักทรัพย์(SET) ณ วันที่ 1 ก.ค. อยู่ที่ 18.76 เท่า อาทิ CBG,GULF,OSP,KTC,BGRIM,RATCH,INTUCH,EA,EGCO, ADVANC,BTS,CPALL,SAWAD,DTAC,MINT,GPSC, TISCO,PTTEP,BEM และ MTC

 

ด้านบล.ทิสโก้  ระบุว่า คาดว่าหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคมจะปรับตัวขึ้นไปแตะแนวต้านที่ระดับ 1,760 จุดได้ หลังสหรัฐฯ และจีนมีท่าทีจะสงบศึกสงครามการค้าชั่วคราว พร้อมทั้งได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงินผ่อนคลายทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 31 กรกฏาคมนี้

ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็พร้อมจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง และทำ QE รอบใหม่ หากเศรษฐกิจทรุดตัวจากผลกระทบของสงครามการค้า ส่วนธนาคารกลางจีน (PBoC) อาจจะปรับลดอัตราส่วนเงินกันสำรองขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25-0.50% ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะเริ่มส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไป

สำหรับหุ้นแนะนำในเดือนกรกฎาคม 2562 แนะนำให้เข้าซื้อเมื่อหุ้นไทยลงมาที่แนวรับ 1,705-1,720 จุด แบ่งออกเป็น 4 ธีมหลัก คือ

1.ธีมผลประกอบการไตรมาส 2/2562 ที่คาดว่าจะประกาศออกมาดี ได้แก่ EASTW, CK, MAJOR และ SCCC

2.ธีมหุ้นที่เป็นเป้าหมายของเงินทุนต่างชาติ และราคายังมี Upside ได้แก่ BBL, INTUCH, LH และ GPSC

3. ธีมหุ้นที่ได้ผลเชิงบวกจากเมกะโปรเจกต์ และการบริโภคในประเทศ ได้แก่ CPALL, STEC และ ROJNA

4.ธีมหุ้นปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด ซึ่งแนะนำให้เข้าซื้อเมื่อราคาปิดวันเพิ่มขึ้นกว่า 2% เมื่อเทียบจากวันก่อนหน้า ได้แก่ TMB, PTTEP, BCP, PTTGC, IRPC และ LPN

นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ต้องจับตาว่าหุ้นไทยจะสามารถผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1,760 ได้หรือไม่ ซึ่งหากสามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ หุ้นไทยจะปรับขึ้นไปทำแนวต้านต่อไปที่ 1,810 จุด และมีแนวต้านถัดไปที่ 1,850 จุด โดยมีแรงหนุนสำคัญจากแรงซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งกลับมามีสถานะซื้อสุทธิ 4.6 หมื่นล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2562 และในช่วงหลังจากนี้จนถึงสิ้นปี 2562

บล.ทิสโก้ คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาอีก 6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสะสมมากถึง 6 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท จึงมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้าซื้อเท่ากับค่าเฉลี่ยที่เคยเทขายไป

 

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button