เปิด 4 “Sector” หลัก โบรกฯ ชี้เจอ “Sentiment” เชิงลบเซ่นระเบิดป่วนเมือง

เปิด 4 “Sector” หลัก โบรกฯ ชี้เจอ "Sentiment" เชิงลบเซ่นระเบิดป่วนเมือง


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบทวิเคราะห์ที่สำรวจเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างหนักติดต่อกัน อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าดัชนีมีการปรับตัวลดลงอย่างหนักแล้ว จึงคาดว่ามีโอกาสจะรีบาวด์

อย่างไรก็ตามยังมีบจ.ใน 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะยังได้รับ Sentiment เชิงลบจากประเด็นดังกล่าว อาทิ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ,กลุ่มขนส่งทางอากาศ , กลุ่มร้านอาหาร และกลุ่มโรงพยาบาล

โดย บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (5 ส.ค.62) โดยเชื่อว่าอิทธิพลของเหตุการณ์ระเบิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา น่าจะค่อยๆ จางหายไป ทั้งนี้ประเมินจากข้อมูลย้อนหลัง ประกอบกับความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ นอกจากนี้ที่บริเวณ SET Index 1,680 จุด ก็ถือเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง เนื่องจากมีค่า Market Earning Yield Gap เท่ากับค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง สำหรับกลยุทธ์ยังให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีปัจจัยบวกหนุนเฉพาะตัวและมี Downside จำกัด Top Picks ยังคงเลือก MCS (FV@9) และ ROBINS (FV@B70)

ทั้งนี้ จากการศึกษาผลกระทบจากเหตุการณ์วางระเบิดในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ย้อนหลังในอดีตพบว่าในแต่ละครั้ง SET Index ปรับตัวลดลงในระดับที่ต่างกัน อยู่ในช่วงตั้งแต่ 1.2% (ปี 2560) – 10.6% (ปี 2553) ส่วนช่วงเวลาที่ได้รับผลกระทบอยู่ในช่วง 1 – 5 วัน ซึ่งจากรูปแบบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ หากเทียบกับในอดีตเห็นว่ามีระดับความรุนแรงไม่มาก อีกทั้งไม่มีเหตุการณ์ต่อเนื่องเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่ SET Index ได้ปรับตัวลดลงแรงไปแล้ว จึงเชื่อว่าผลกระทบน่าจะจำกัดและค่อยๆ ลดอิทธิพลลงไป ส่วนพัฒนาการของอีก 1 เรื่องที่น่าสนใจได้แก่การเปลี่ยนแปลงของ Bond Yield ที่พบว่าปรับลดลงมาค่อนข้างเร็วโดย Bond Yield 10 ปีของสหรัฐฯ และไทยลดลงมาอยู่ที่ 1.86% และ 1.79% ตามลำดับ ทั้งนี้ในส่วนของไทยจะเห็นว่าได้ปรับลดลงมาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะไปสร้างแรงกดดันให้ Fund Flow ปรับทิศทางให้ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น เนื่องจากหากมองในมุมของ Market Earning Yield Gap พบว่าปัจจุบันให้ค่าอยู่ที่ 4.26% ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังที่ 4.28%

โดยหากยืนตัวเลข Yield Gap เท่ากับค่าเฉลี่ยย้อนหลังดังกล่าว ก็จะคำนวณออกมาได้เป็น SET Index อยู่ที่ราว 1,680 จุด ภายใต้องค์ประกอบดังกล่าวจึงเชื่อว่าที่บริเวณ 1,680 จุด น่าจะเป็นแนวรับที่แข็งแรงของ SET Index กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ ฝ่ายวิจัยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุน ขณะที่ Top Pick ยังคงเป็น 2 บริษัทเดิมได้แก่ MCS และ ROBINS

เหตุระเบิดปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลกระทบต่อ SET Index จะค่อยๆ หายไป

ปลายสัปดาห์ที่แล้วสรุปเหตุการณ์ระเบิดคือ  1.) BTS ช่องนนทรีมีผู้บาดเจ็บ 2 รายและรถยนต์เสียหาย  2.) ศูนย์ราชการหลัก 4  และจุดอื่นๆอาทิ  ซอยพระราม 9, ใต้บันได BTS ศาลาแดง (พบว่าเป็นกล่องนาฬิกา),ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์หัวหมาก (สรุปเป็นกระเป๋านักท่องเที่ยว) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ เชื่อว่าเหตุการณ์ระเบิดในรอบนี้น่าจะเป็นเหตุการณ์ระยะสั้น และกระทบต่อ Sentiment เชิงลบต่อ SET Index ช่วงสั้นเท่านั้น  เนื่องจากเหตุการณ์ไม่ขยายวง อีกทั้งระดับความรุนแรงก็อยู่ในรัดบที่จำกัด

สำหรับกรณีที่ Set Index จะปรับฐานจากเหตุระเบิดรุนแรง และกินระยะเวลายาวนาน พิจารณาจากข้อมูลในอดีตส่วนใหญ่ จะสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองและมีสัญญาณของความรุนแรงอยู่ก่อนหน้า อาทิ รอบ 31 ธ.ค. 2549-1 ม.ค.2550 ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างรัฐประหาร พบว่า SET ปรับลดลงติดต่อกัน 5 วันราว 9.3%

แต่เหตุระเบิดสร้าง Sentiment เชิงลบต่อบางอุตสาหกรรม

เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในอดีตทุกๆครั้ง พบว่า Sector ที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบ หลักๆ คือ กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม, กลุ่มขนส่งทางอากาศ, กลุ่มร้านอาหาร, กลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง และ กลุ่มโรงพยาบาล รายละเอียดดังนี้

กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ได้ผลกระทบโดยตรงโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ร้ายแรง โดยเฉพาะนักท่องที่ยวจีน อันดับ1 ของไทย ราว 28%ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งน่าจะกดดันต่อราคาหุ้น โดยเฉพาะ ERW(FV@8) เนื่องจากโครงสร้างรายได้พึ่งพาโรงแรมราว 94% (แบ่งเป็น 57% โรงแรมในกทม.  อีก 38% โรงแรมในตจว. และ ตปท.อีก 2%) , CENTEL(FV@45)

ขณะที่ MINT(FV@47) กระทบน้อยกว่า เนื่องจากโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย  คือ มาจากธุรกิจร้านอาหาร  ขณะที่รายได้จากโรงแรมในกรุงเทพราว 10% ของรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมด และส่วนใหญ่ไปขยายโรงแรมในต่างประเทศ คือ  NH Hotel

กลุ่มขนส่งทางอากาศ เชื่อว่าจะเพียงเป็น Sentiment ลบต่อกลุ่มเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากกรณีเลวร้ายบานปลายและนำไปการแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวต่างชาติวงกว้าง จะส่งผลกระทบการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวใน 2H62 จากฐานต่ำปีก่อนจำกัดกว่าที่ประเมินไว้ และจะกระทบต่อประมาณการหุ้นการบินทั้งหมด ที่ฝ่ายวิจัยตั้งสมมติฐานปริมาณจราจร โดยรวมผลบวกการฟื้นตัวจากฐานต่ำปีก่อน

อย่างไรก็ตามเบื้องต้นยังคงประมาณการเดิมไปก่อน แต่จากการศึกษาผลกระทบความอ่อนไหวอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสารทุกๆ 1% ที่เปลี่ยนแปลงไปจากประมาณการเดิม ขณะที่ AOT เป็นการกำหนดการเติบโตของผู้ใช้บริการทุกๆ 1% ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จะกระทบต่อกำไรสุทธิปี 2562 ลดลงจากประมาณการเดิมของ  AOT, AAV,BA ลดลง 1.4%, 23%, 70.6% ส่วน THAI พลิกจากกำไรเป็นขาดทุน ตามลำดับ

ขณะที่กระทบมูลค่าพื้นฐาน AOT, AAV, BA และ THAI ลดลง 1%, 8.0%, 4.2% และ 11.1% ตามลำดับ จากมูลค่าพื้นฐานปัจจุบัน (AOT(FV@B80), AAV([email protected]), BA([email protected]), THAI ([email protected]) โดย AOT กระทบจำกัดสุด เนื่องจากมีฐานรายได้กระจายตัวจากการที่มีธุรกิจเชิงพาณิชย์ จึงเชื่อว่าเป็นโอกาสทยอยสะสม ลงทุนระยะยาว หากราคาหุ้นปรับฐานรับข่าวลบดังกล่าว

กลุ่มร้านอาหาร  ในอดีตกระทบ M(FV@84) คือ กระทบต่อยอดขายร้านอาหาร  พิจารณาในอดีต  เหตุระเบิดราชประสงค์ปี 2558 พบว่ายอดขายของ MK หดตัวแรง คือ งวดไตรมาส 3/58 หดตัว 12% จากหดตัว 4% งวดไตรมาส 2/58 จาก 0%ในงวดไตรมาส 1/58 เช่นเดียวกับ ยาโยอิคืองวดไตรมาส 3/58 หดตัว 3% จากที่ขยายตัว 3% งวดไตรมาส 2/58 จาก  จาก 2%ในงวดไตรมาส 1/58

กลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง เชื่อว่า  Sentiment ลบต่อกลุ่มฯ  แต่คาดกระทบจำกัดหากเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น แต่กรณีเลวร้าย หากสถานการณ์บานปลายต่อและนำไปสู่การแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวต่างชาติในวงกว้าง อาจกระทบต่อหุ้นค้าปลีกที่มีรายได้จากการนักท่องเที่ยว คือ BEAUTY  ที่มีสัดส่วนยอดขายนักท่องเที่ยวจีนราว 5-10%ของยอดขายรวมทั้งหมด รวมถึง MAKRO และ BJC ที่มียอดขายกลุ่ม HORECA  (โรงแรมร้านอาหารคาเฟ่) 29% และ 7.2% ตามลำดับ ซึ่งอาจกระทบต่อสมมติฐานยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ประมาณการปัจจุบันได้รวมผลบวกการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 จากฐานที่ต่ำด้วย

ทั้งนี้จากการศึกษาผลกระทบความอ่อนไหว SSSG ทุกๆ 1% ที่เปลี่ยนแปลงไปจากประมาณการเดิม พบว่า จะกระทบต่อกำไรสุทธิปี 2562 ลดลงจากประมาณการเดิมของ  BEAUTY ลงราว 0.7%, MAKRO 1.7% และ BJC 0.6% ตามลำดับ ขณะที่กระทบมูลค่าพื้นฐานปัจจุบัน BEAUTY, MAKRO และ BJC ลดลง 0.9%, 1.1% และ 0.5% ตามลำดับ จากมูลค่าพื้นฐานปัจจุบัน BEAUTY ([email protected]), MAKRO (FV@B35) และ BJC (FV@B61) โดยคาด BJC กระทบจำกัดสุด จากการมีฐานธุรกิจที่หลากหลาย เชื่อว่าเป็นโอกาสสะสม หากราคาหุ้นปรับตัวลดลง

กลุ่มโรงพยาบาล เชื่อว่ากระทบระยะสั้นในเชิงจิตวิทยาต่อการตัดสินใจเดินทางมารักษาในประเทศไทยได้บ้าง โดย BH, BDMS,PR9 และ BCH มีสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติราว  67%ของรายได้การรักษา, 33%, 15% และ 10% ตามลำดับ โดยเฉพาะ BH นอกจากจะมีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติมากสุดแล้ว ยังมีทำเลเพียงใจกลางกรุงเทพมหานครเพียงแห่งเดียว ตรงข้ามกับ BDMS ที่มีจุดเด่นในแง่การกระจายความเสี่ยงด้านทำเลที่หลากหลาย โดยหากผู้ป่วยที่ไม่มั่นใจในสถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ก็ยังสามารถไปรักษาในทำเลอื่นๆได้ อีกทั้งผู้ป่วยต่างชาติกว่า 50%เป็นกลุ่ม Expat.(คนต่างชาติที่ทำงานในไทย)  ที่อยู่แล้ว  เช่น ชาวญี่ปุ่น และ USA เป็นต้น โดยรวมเชื่อว่ากระทบ Sentiment เชิงลบระยะสั้น โดยหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ASPS  หุ้น Top picks  เลือก RJH (FV@B32) ที่มีทำเลอยู่อยุธยา และไม่ได้พึ่งพาตลาดผู้ป่วยต่างชาติ และแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น

 

Back to top button