ผลงานดีมีชัย

*ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า “โมนิก้า” ไม่วอร์รี่กับการอ่อนตัวลงมายืนที่บริเวณ 1,650 จุด สักเท่าไหร่ ? เพราะของมันเห็นกันอยู่แล้วว่า ระดับเหมาะสมของดัชนีในปี 2562 ไม่เกินระดับ 1,750 จุด จึงทำให้นักเล่นส่วนใหญ่หาจังหวะขายหุ้นเมื่อดัชนีเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับดังกล่าว เดี๊ยนถึงพยายามพุ่งเป้าไปยังหุ้นพื้นฐานดีมากกว่าหุ้นเก็งกำไร เพราะหุ้นเหล่านั้นจะวิ่งกลับไปหาจุดเหมาะสมเองอยู่ดีจ้า !


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า “โมนิก้า” ไม่วอร์รี่กับการอ่อนตัวลงมายืนที่บริเวณ 1,650 จุด สักเท่าไหร่ ? เพราะของมันเห็นกันอยู่แล้วว่า ระดับเหมาะสมของดัชนีในปี 2562 ไม่เกินระดับ 1,750 จุด จึงทำให้นักเล่นส่วนใหญ่หาจังหวะขายหุ้นเมื่อดัชนีเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับดังกล่าว เดี๊ยนถึงพยายามพุ่งเป้าไปยังหุ้นพื้นฐานดีมากกว่าหุ้นเก็งกำไร เพราะหุ้นเหล่านั้นจะวิ่งกลับไปหาจุดเหมาะสมเองอยู่ดีจ้า !

*วันนี้ถึงไม่ต้องถามถึงเหตุผลที่หุ้นบางตัวอ่อนตัวลงหนัก หรือหุ้นบางตัวยังขยับขึ้นไปได้ไม่ไกล เพราะทุกคนรู้ดีว่า ต้องพยายามพาตัวเองเข้าสู่จุดที่เป็นเซฟตี้โซนให้มากสุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งทำให้กลยุทธ์การ “ขายก่อน รอซื้อ” เป็นทางเลือกที่ดีสุดในภาวะผันผวนเช่นนี้ แถมวิธีการดังกล่าวยังเป็นการป้องกันคำพูดพล่อย ๆ ของคนบ้าอำนาจอย่าง “ทรัมป์” อีกทางหนึ่งด้วย จึงเป็นเรื่องที่เดี๊ยนสนับสนุนเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ

*ฉะนั้นการที่ดัชนีอ่อนตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,650.64 จุด ลบไป 14.48 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.92 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ช่วงเช้ากระชากขึ้นไปถึงระดับ 1,675.44 จุด ย่อมเป็นจังหวะที่นักเล่นเล็งเห็น “ความเสี่ยง” มากกว่า “โอกาส” ในช่วงของการมีวันหยุดยาวก็เท่านั้นเอง..ถึงกระนั้น “โมนิก้า” ยังเชื่อว่า บรรดานักเล่นจะหวนกลับเข้ามาเล่นใหม่ในสัปดาห์นี้ เพราะหุ้นหลายตัวยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมนะจะบอกให้

*โดดเด่นเป็นสง่าต้องยกให้หุ้นน้องใหม่ DOHOME ประกาศกำไรไตรมาส 2 โตไม่ต่ำกว่า 70% จนดันราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 9.45 บาท บวกไป 0.45 บาท หรือขึ้นไป 5% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.33 พันล้านบาท “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นช็อตการเล่นต่อไปได้เรื่อย ๆ แต่ในระหว่างทางอาจมีการเขย่าเพื่อทดสอบกำลังใจบ้างเล็กน้อย จึงอยากให้นักเล่นอ่านเกมกำไรต่อหุ้นปี 2562 น่าจะอยู่แถว ๆ 0.60 บาท เมื่อเทียบ P/E 20 เท่า..ราคาจะเป็นเท่าไหร่ ?..อิอิอิ

*เรื่องนี้ดูตัวอย่างได้จากแรงขายหุ้น BCPG ออกมาอย่างหนักหน่วงตั้งแต่เช้า จนฉุดราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ 18.80 บาท ลบไป 1.20 บาท หรือลงไป 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.07 พันล้านบาท ทั้งที่ผลงานไตรมาส 2 ยังโต แถมในช่วงครึ่งปีแรกก็ยังโตเหมือนเดิม “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นเรื่องของ sell on fact มากกว่าประเด็นอื่น ซึ่งเป็นโอกาสทองของคนที่มีเงินเย็นช้อนหุ้นเก็บไว้ในพอร์ตนะตัวเอง

*ประเด็นนี้เชื่อมโยงไปยัง CBG แบบเต็ม ๆ เพราะหลังจากโชว์ตัวเลขกำไรสวย ๆ ให้เห็น บรรดาผู้เล่นหลักก็เทขายหุ้นทิ้งแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จนฉุดราคาหุ้นลงมาปิดที่ 73.50 บาท ลบไป 7 บาท หรือลงไป 8.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.27 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่นักเล่นขาประจำฉวยจังหวะขายเพื่อลงมาซื้อข้างล่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยมากสำหรับหุ้นที่มีการเล่นข่าวใต้ดินเป็นประจำนะจ๊ะ

*พลิกล็อกมากเหลือเกินคงเป็นในรายของ MTC โดนเทขาย 2 วันติด ๆ ทั้งที่มีข่าวดีรอรับเต็มประตู “โมนิก้า” มองเป็นแรงกดดันที่มาจากข่าวเม้าท์หลายอย่าง ซึ่งตอนนี้เริ่มมีการพูดถึงตัวเลขกำไรเริ่มขยายตัวยาก ผนวกกับถูกทางการตีกรอบการปล่อยเงินกู้มากขึ้นกว่าเดิม บรรดาผู้เล่นเลยชิงขายหุ้นเพื่อรอดูสถานการณ์จริง ๆ จะออกมาในรูปไหน ส่งผลให้หุ้นดิ่งลงมาปิดที่ระดับ 53 บาท ลบไป 5.75 บาท หรือลงไป 9.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.44 พันล้านบาทน่ะซี

*สำหรับรายที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งต้องยกให้ JMT เพราะปูฐานตัวเลขกำไรมาตั้งแต่ไก่โห่ จึงไม่ต้องวอร์รี่เรื่องกำไรปี 2562 หลังเห็นแนวทางสร้างฐานกำไรโตต่อเนื่องติดต่อกัน 10 ไตรมาส ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แถมช่วงปลายปีเตรียมซื้อหนี้เข้ามาในพอร์ตไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท เดี๊ยนถึงมองราคาปิดที่ระดับ 18.50 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 111 ล้านบาท เล่นได้สบาย ๆ เจ้าค่ะ

*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” หันมาให้น้ำหนักหุ้นแม่ JMART มากขึ้นในทันที เพราะหลังจากเห็นลูก ๆ ตอบแทนความดีแบบสุดซอย อานิสงส์ผลบุญทั้งหมดน่าจะตกอยู่ที่แม่อย่างแน่นอน และถ้าเป็นแบบนี้จริง ๆ ตัวเลขกำไรปี 2562 น่าจะทะลุถึง 600 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นกำไรต่อหุ้นไม่ต่ำกว่า 0.60 บาท และเมื่อคิดบนสมมติฐานค่า P/E 30 เท่า สำหรับหุ้นที่มี growth ราคาเป้าหมายบริเวณ 18 บาท น่าจะชิว ๆ พร้อมกับทำให้ราคาปิดที่ 11.40 บาท บวกไป 0.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 111 ล้านบาท ยังมีแก๊ปให้เล่นต่ออีกเยอะเลยทีเดียวนะคะ

*คล้ายกับกรณีของหุ้น NER ซึ่งเห็นกันชัดเจนว่าไตรมาส 2 กำไรออกมาดีแน่นอน และเที่ยวนี้มีสิทธิ์แตะระดับ 160 ล้านบาท เป็นอย่างต่ำ (ราคายางดีขึ้น) “โมนิก้า” ย่อมมองราคาปิดที่ 2.54 บาท ลบไป 0.02 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 28 ล้านบาท ยังมีแก๊ปให้เล่นต่อเหมือนกับรายข้างต้นอย่างแน่นอน แถมเมื่อมองไปยังเรื่องขายล่วงหน้าเข้ามาประกอบ ผลงานไตรมาส 3 ยิ่งดูดีขึ้นไปอีกนะจ๊ะ

Back to top button