ลดราคาน้ำมันแทนแจกเงิน

ถึงจะมีข่าวดีอยู่บ้าง ที่มูลค่าการส่งออกเดือนก.ค.ที่ผ่านมา กลับมาเป็นบวกได้ 4% กว่าในรอบ 5 เดือน แต่เศรษฐกิจจริงก็แผ่วจนเกือบจะแน่นิ่งไปแล้วล่ะครับ


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

ถึงจะมีข่าวดีอยู่บ้าง ที่มูลค่าการส่งออกเดือนก.ค.ที่ผ่านมา กลับมาเป็นบวกได้ 4% กว่าในรอบ 5 เดือน แต่เศรษฐกิจจริงก็แผ่วจนเกือบจะแน่นิ่งไปแล้วล่ะครับ

เศรษฐกิจไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขยายตัวได้แค่ 2.3% เท่านั้น ขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 19 ไตรมาส ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งแรกของปี เติบโตได้แค่ 2.6%

อนิจจา! นี่เราอยู่กับยุคเศรษฐกิจตกต่ำมากว่า 5 ปีแล้วหรือเนี่ย ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง ล้มหายตายจากกันไปไม่ใช่น้อย ที่เห็นกันได้ชัดเจนที่สุดคือร้านอาหาร ที่ทยอยปิดตัวกันไปร้านแล้วร้านเล่า

ผลงานเด่นด้านการแก้ไขเศรษฐกิจของรัฐบาล เห็นจะเป็นการแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แจกมันดะหลายรอบมาแล้ว นับเป็น “สายเปย์” ตัวจริงที่แจกยิ่งเสียกว่ารัฐบาลประชานิยมต้นตำรับหลายเท่าตัวนัก

ทั้งแจกเงินผู้สูงอายุ มารดาและบุตรประชารัฐ และแจกเงินให้คนไปกิน เที่ยว ช็อป แจกอย่างนี้มา 5 ปีแล้ว มีแต่คนรวยกระจุก จนกระจาย เศรษฐกิจยิ่งแผ่วลง ๆ นี่ล่าสุดก็แจกอีกแล้ว 3.1 แสนล้านบาท

ไม่รู้จะต้องแจกกันอีกเท่าไหร่ ถึงจะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ และไม่รู้ว่าเราจะต้องอยู่กับตำราเศรษฐศาสตร์ฉบับแจกนี้ไปอีกนานแค่ไหน

สู้อย่ากระนั้นเลย ไหน ๆ ก็จะเดินหน้านโยบายแจกกันแล้ว ไม่ลองคิดแหกกรอบเรื่องการ ลดราคาน้ำมัน” ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในด้านค่าครองชีพและต้นทุนประกอบการดูบ้างหรือ

ย่อมน่าจะดีกว่านโยบายแจกเป็นแน่และก็สามารถทำได้แน่ เพียงแค่รัฐบาลประกาศลด “ภาษีน้ำมัน ” ลงมาเท่านั้น

มาดูกันที่โครงสร้างราคาน้ำมัน แล้วจะเห็นว่า ราคาเนื้อน้ำมันจริง ๆ นั้น ไม่ได้แพงเหมือนกับราคาจำหน่ายปลีกตามปั๊มเลย แต่ไปเสียเบี้ยบ้ายรายทางให้กับภาษีต่าง ๆ ทั้งภาษีน้ำมัน ภาษีเทศบาล เงินเข้ากองทุนน้ำมัน กองทุนอนุรักษ์พลังงาน ค่าการตลาด และภาษีมูลค่าเพิ่ม

ตัวที่ใหญ่ที่สุดก็คือภาษีน้ำมัน

ดูกันที่น้ำมันตัวหลัก ๆ ได้แก่น้ำมันดีเซล ที่ขายหน้าปั๊มลิตรละ 25.79 บาทนั้น เป็นราคาหน้าโรงกลั่นหรือราคาเนื้อน้ำมันเพียง 15.29 บาทเท่านั้น ห่างกันตั้ง 10.50 บาท หรือประมาณ 60% ของราคาจำหน่ายปลีกเท่านั้น

ตัวเพิ่มใหญ่ก็คือภาษีน้ำมัน 5.99 บาท

ลองคิดเล่น ๆ ถ้ารัฐบาลยอมลดการจัดเก็บภาษีน้ำมันลงมาครึ่งหนึ่ง น้ำมันจำหน่ายปลีกดีเซลก็จะลดลงมาได้เกือบ 3บาท/ลิตร หากลดเป็น 60-70% ก็จะลดราคาได้เพิ่มขึ้นอีกเป็นกว่า 3-4 บาท

ดีกว่าไหมกับการแจก!

น้ำมันเบนซินตัวที่ใช้กันมากคือ แก๊สโซฮอล์ 95 E10 ที่จำหน่ายปลีกราคา 27.35 บาทนั้น แต่ราคาเนื้อน้ำมันหน้าโรงกลั่นเพียงแค่ 14.86 บาทเท่านั้น ห่างกันตั้ง 12.49 บาท หรือ 45% ไม่ถึงครึ่งของราคาจำหน่ายปลีกด้วยซ้ำ

เป็นภาษีน้ำมันตั้ง 5.85 บาท

ถ้ารัฐบาลยอมลดการจัดเก็บภาษีน้ำมันลงครึ่งหนึ่ง ราคาจำหน่ายปลีกแก๊สโซฮอล์ 95 ก็จะลดลงมาได้เกือบ 3 บาท หากลดลงมาเป็น 60-70% ก็จะลดราคาได้เป็น 3.50-4.00 บาท

นี่ก็ดีกว่าไหมกับการแจก อันไร้แก่นสารและความยั่งยืนใดๆ!

ราคาน้ำมันเป็นต้นทุนใหญ่ของสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าโดยสารรถไฟ รถยนต์สาธารณะ ก็ไม่ต้องปรับขึ้น พนักงานลูกจ้างกินเงินเดือน ก็มีเงินเหลือจากราคาน้ำมันที่ลดลง

อย่าเอาข้ออ้างกลัวประชาชนจะใช้น้ำมันฟุ่มเฟือย ไม่ประหยัดกันเลย เพราะก็คงไม่มีใครจะตะบี้ตะบันวิ่งรถเกินจำเป็น ด้วยเหตุว่าน้ำมันราคาถูกดี

ครั้นจะอ้างว่า การลดภาษีน้ำมันจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ก้อนใหญ่ ก็ต้องไปดูว่า ปีหนึ่งรัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีน้ำมันเท่าใด ซึ่งปีงบประมาณ 2560-2561 ที่ผ่านมา มียอดการจัดเก็บแค่ 1.77-2.16 แสนล้านบาทเท่านั้น

น้อยกว่า 3.1 แสนล้านบาทสำหรับมาตรการแจกล่าสุดเป็นไหน ๆ

แต่แก้โจทย์เศรษฐกิจทรุดได้ตรงจุดและทั่วถึง อีกทั้งยังช่วยตรึงราคาสินค้า ค่าโดยสาร การขนส่ง ค่าครองชีพ และมีเงินเหลือในกระเป๋าไปใช้จ่าย ประชาชนก็ไม่ติดนิสัยแบมือขออีกด้วย

มันเป็นสิทธิประชาชนจะได้บริโภคน้ำมันราคาถูก แต่รัฐบาลมาฉกฉวยเอาไปช้านานแล้วครับ

Back to top button