อาจไม่ใช่ขาลงแต่ไม่ใช่ขาขึ้น (1)

รางวัลผู้ทรงอิทธิพลต่อตลาดหุ้นหรือ The man who move markets ปีนี้หนีไม่พ้นโดนัลด์ ทรัมป์ชนิดไร้คู่แข่งแน่นอนเพราะคำพูดในสื่อออนไลน์และคำสั่งในสงครามการค้าที่ประกาศออกมาหรือคำพูดถึงเฟดฯ ล้วนแต่ทำให้ตลาดหุ้นเป็นได้ทั้งขาขึ้นและขาลงทั้งสิ้น


พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล

รางวัลผู้ทรงอิทธิพลต่อตลาดหุ้นหรือ The man who move markets ปีนี้หนีไม่พ้นโดนัลด์ ทรัมป์ชนิดไร้คู่แข่งแน่นอนเพราะคำพูดในสื่อออนไลน์และคำสั่งในสงครามการค้าที่ประกาศออกมาหรือคำพูดถึงเฟดฯ ล้วนแต่ทำให้ตลาดหุ้นเป็นได้ทั้งขาขึ้นและขาลงทั้งสิ้น

รวมทั้งคำพูดเด็ด ๆ ล่าสุดที่บอกว่า ผมพร้อมจะมี Second thought” ที่สำนักข่าวและวิเคราะห์ โลกสวย พากันตีความว่าเขาอาจกลับลำพิจารณาภาษีจีนใหม่ (อาจไม่ขึ้นหรือยกเลิก) แต่กลับมีคำอธิบายเพิ่มเติมชนิดทำเอานักวิเคราะห์หงายเงิบว่าความหมายของทรัมป์คือควรจะเพิ่มภาษีมากกว่านี้

ไม่เพียงแค่นั้นหลังจากที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวสุนทรพจน์แบบ “แทงกั๊ก หลังการประชุมเศรษฐกิจประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิ่งทำให้ผิดคาดของนักวิเคราะห์ที่เชื่อว่านายพาวเวลล์ จะใช้เวทีการประชุมดังกล่าวส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้สอดรับกันกับคำประกาศขึ้นภาษีจีนต่อสินค้านำเข้าสหรัฐฯ มูลค่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ทรัมป์ก็ออกทวิตเตอร์ตั้งคำถามว่า ศัตรูหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯยามนี้ชื่อพาวเวลล์หรือสี จิ้นผิงกันแน่ (พร้อมกับการปล่อยข่าวลือว่าทำเนียบขาวมีความคิดลดอำนาจ Powell ซึ่งตลาดประเมินว่ามีความเป็นไปได้ต่ำมาก)

นอกจากนี้ปธน.ทรัมป์ ยังสั่งให้บริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์ทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง FedEx, UPS, อเมซอนและสำนักงานไปรษณีย์สหรัฐฯ ปฏิเสธการส่งยา Fentanyl (ยาบรรเทาอาการปวดและมีความแรง 50-100 เท่าของมอร์ฟีน) จากประเทศจีนหรือจากประเทศอื่น ๆ เข้ามาในสหรัฐฯ

คำพูดและพฤติกรรมอันสามารถขับเคลื่อนตลาดแบบที่ทรัมป์กระทำส่งสัญญาณชัดเจนว่านับจากนี้ไปโอกาสที่ตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นค่อนข้างยากมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยแต่ไม่ชัดเจนเพียงแค่ว่าจะเป็นขาลงลึกแค่ไหนในยามที่ความกังวล Inverted yield curve ครอบงำตลาดหุ้นสหรัฐฯ

มุมมองเชิงลบที่เริ่มกระจายตัวนี้เผยแพร่ในสำนักวิเคราะห์ใหญ่ของไทยชัดเจนว่าสัปดาห์นี้ประเมิน SET ผันผวนสูงประเมินกรอบ SET 1,580-1,630 จุดซึ่งเป็นช่วงต่ำสุดในรอบ 1 ปีครึ่งเลยทีเดียว

ข้อเท็จจริงของโดนัลด์ ทรัมป์ กับพวกยังคงเดินหน้าหลอกคนอเมริกันที่เอียงขวาจนหน้ามืดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในยุคของเขาเติบโตดีที่สุดในรอบทศวรรษแต่นั่นก็ไม่อาจหลอกได้นานเพราะแม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตเร็วกว่าที่เคยเป็นจริงแต่ตัวเลขขาดดุลงบประมาณก็เพิ่มขึ้นอีก 17% เป็น 779,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012 ก็ส่งสัญญาณเลวร้ายมาให้เห็น

ล่าสุดสัปดาห์นี้ตัวเลขหนี้สินของสหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนสิงหาคมนี้ 22.39 ล้านล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 5 เดือนก่อนที่ทำสถิติ 22 ล้านล้านดอลลาร์แซงหน้าตัวเลขจีดีพีที่คาดว่าจะต่ำกว่า 20 ล้านดอลลาร์

ตอนที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ หนี้สินซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ยืมมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณเรื้อรังและดอกเบี้ยที่พอกพูนขึ้นอยู่ที่ราว ๆ 19.95 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะเทียบเท่ากับจีดีพี

ระดับหนี้สาธารณะที่สูงเกิน 100% ของจีดีพีทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นห่วงโซ่ทำให้เกิดแรงกดดันที่พยายามผลักภาระให้เฟดฯ ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ ระหว่างเขาควาย เพราะด้านหนึ่งถูก ขึงพืด จำกัดขีดความสามารถในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพราะจะทำให้ต้นทุนการเงินและภาระหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกแต่อีกด้านหนึ่งก็จำต้องสู้กับเงินเฟ้อที่ตั้งเค้ามาจากผลพวงของสงครามการค้าโดยเฉพาะกับจีนในขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่ำมาก ๆ ต่ำกว่าไทยด้วยซ้ำ

ตัวเลขดังกล่าวทำให้คนเริ่มคิดถึงคำเตือนเมื่อปลายเดือนมกราคมของนางเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานเฟดฯ ที่บอกสั้น ๆ ว่า ถ้าดิฉันมีไม้กายสิทธิ์ก็จะทำการขึ้นภาษีและลดการใช้จ่ายของรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวกับเงินบำเหน็จบำนาญ

ปัญหาหนี้รัฐบาลที่สะท้อนการคลังย่ำแย่โยงกับตัวเลขขาดดุลงบประมาณอย่างแยกไม่ออก

 

(อ่านต่อฉบับหน้า)

Back to top button