8 เดือนหุ้น SET50 ขึ้นมากกว่าลง! คัด 6 หุ้น“บลูชิพ”ต่ำบุ๊ก-แบงก์ติดโผเพียบ!

8 เดือนหุ้น SET50 ขึ้นมากกว่าลง! คัด 6 หุ้น“บลูชิพ”ต่ำบุ๊ก-แบงก์ติดโผเพียบ!


ทิศทางการลงทุนในช่วง 8 เดือนแรกปี 2562 จะพบว่าดัชนีในเดือนสิงหาคมมีการปรับตัวลงต่อเนื่องและหลุดระดับ 1700 จุด เนื่องจากนักลงทุนกังวลปัจจัยสงครามการค้า,การประท้วงในฮ่องกงและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีแรก2562 ทำให้กลุ่มหุ้นพื้นฐานปรับตัวลงแรง

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองฮ่องกงผ่อนคลายขึ้น หนุนให้ Fund Flow ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคชะลอลง ส่งผลให้ทิศทางตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งและคาดว่าแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่จะกลับมาน่าสนใจอีกครั้งในช่วงก่อนปิดงบไตรมาส 3/62

ดังนั้นทีมข่าวข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET50 ในช่วง 8 เดือนที่มานำเสนอโดยเรียงลำดับจากหุ้นปรับตัวขึ้นมากสุดไปหาน้อยสุดซึ่งครั้งนี้มีหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมด 33 ตัว และปรับตัวลดลง 17 ตัว ดังตารางประกอบ

โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงอันดับ 1 คือ ริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG เป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงสูงสุดในกลุ่มโดยราคาหุ้นในช่วง 8 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 149.59%  จากยืนที่ระดับ 30.75 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 76.75 บาท ณ วันที่ 30 ส.ค.62 โดยได้รับแรงหนุนจากแผนธุรกิจเด่นและคาดว่าปีนี้จะเป็นปีทองของบริษัท

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/62 อยู่ที่ 533 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง +154% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ +27%เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากอัตรามาร์จิ้นที่ดีขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เราคาดยอดขายอยู่ที่ 3,736 ล้านบาท (+3%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +11%เทียบไตรมาสก่อนหน้า) จากการคาดรายได้ในประเทศในกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานเพิ่มขึ้น 3%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามตลาดอุตสาหกรรมเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นจากช่วง high season ฤดูร้อน

ด้านยอดขายส่งออกเราคาดเพิ่มขึ้น 6%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (สัดส่วนรายได้ส่งออกคาด 47% ของรายได้รวม) โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาจากประเทศกัมพูชาเป็นหลัก คาดยอดขายจีนใน ไตรมาส 2/62 อยู่ที่ 30 ล้านหน่วย เริ่มเพิ่มขึ้นเนื่องจากผ่านช่วงโลว์ซีซั่นหน้าหนาวในจีนแล้ว

ในขณะที่คาดอังกฤษยอดขายยังทรงตัวจากช่วงสร้างแบรนด์ คาดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงอยู่ที่ 20% จาก 25%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดค่าใช้จ่ายการตลาด และคาดอัตรามาร์จิ้นดีขึ้นอยู่ที่ 37% จาก 32%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับสูตรความหวานน้ำตาลลดลงและอัตรากำลังการผลิตกระป๋องที่เพิ่มขึ้น เราคาดรับรู้ขาดทุนจากอังกฤษ ICUK ที่ 110 ล้านบาท ใกล้เคียงในไตรมาส 1/62 แต่ลดลงจากไตรมาส 2/61 ที่ 272 ล้านบาท

ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากผลประกอบการเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้เป็ต้นไป จากอัตราทำกำไรที่เพิ่มขึ้นและการลดค่าใช้จ่ายในอังกฤษลง เราปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็นปี 2020 อยู่ที่ 87.50 บาท จาก 70.75 บาท อ้างอิง PER +2STDV ที่ 31X จากโอกาสการเติบโตของการส่งออก

ด้านหุ้นที่ปรับตัวลดลง 17 ตัว PTT,SCC,BDMS,SCB,CPN,KTB,BPP,KBANK,BANPU,BBL,GLOBAL, PTTGC,BH,TMB,DELTA,IRPC และ IVL ตรงนี้ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้เข้าเก็บหุ้นพื้นฐานดีราคา Laggard  เข้าพอร์ต ขณะเดียวกันหากสังเกตราคาหุ้นบางตัวพบว่าราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี อาทิ TMB,KTB,TCAP,BBL,PTTGC และKBANK

นอกจากนี้หากสังเกตยังพบว่ามีหุ้นหลายตัวต่ำกว่า P/E ตลาดหลักทรัพย์ (SET) ณ วันที่ 4 ก.ย.62 อยู่ที่ 18.93 เท่า อาทิ TMB,KTB,TCAP,BBL,PTTGC,KBANK,IVLKKP,PTTEP,SCB, TISCO,PTT,SCC,DELTA,BANPU,LH,BPP,EGCO,CPF และRATCH ตรงนี้ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้พิจารณาเข้าเก็บหุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ตอีกทาง ที่สำคัญอย่าลืมว่าหุ้นกลุ่ม SET50 ส่วนใหญ่มีปัจจัยหนุนทั้งในเรื่องมาตรการภาครัฐ และเงินปันผลสูงและเป้า Fund Flow ไหลกลับ

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ประเด็นความตึงเครียดที่ประเทศฮ่องกงผ่อนคลายลง หนุนให้ Fund Flow ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคชะลอลง สะท้อนได้จากวานนี้ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคน้อยลงเหลือ 136 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) หากพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่า ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิ 239 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) อินโดนีเซีย 59 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และฟิลิปปินส์ 14 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 1 วัน) ส่วนประเทศที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 148 ล้านเหรียญ  และไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 28 ล้านเหรียญ หรือ 880 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 7 วัน) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 736 ล้านบาท

มุมมองปัจจัยแวดล้อมยังคงเป็นภาพผ่อนคลายในระยะสั้น สะท้อนได้จากต่างชาติยังไม่ได้กลับมาซื้อหุ้นไทยอย่างเต็มที่ แต่เห็นสัญญาณเก็งกำไรที่ชัดเจน จากการซื้อสุทธิสัญญา SET50 Futures สูงถึงกว่า 1.5 หมื่นสัญญาในวานนี้(4ก.ย.62) และซื้อสุทธิต่อเนื่องมา 6 วัน มูลค่ารวม 5.2 หมื่นสัญญา

ดังนั้นหาก Fund Flow ไหลกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง น่าจะช่วงผลักดันให้ตลาดปรับตัวขึ้นต่อได้อีก (ตามที่นำเสนอใน Market Talk วานนี้ว่า SET Index มีความสัมพันธ์กับเงินทุนต่างชาติในปีนี้อยู่ในระดับสูง) ดังนั้นต้องติดตามความต่อเนื่องของ Fund Flow ในตลาดหุ้นไทยอย่างใกล้ชิด น่าจะเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในช่วงนี้

ด้านหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าในฐานะที่เป็นหุ้น defensive ช่วงที่ผ่านมาเกือบทุกตัวได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงสะท้อนมูลค่าโครงการที่ชัดเจนจนเต็มมูลค่าพื้นฐานที่ให้ไว้ในปีนี้ และถึงแม้ว่าจะปรับไปใช้ FV ปี 2563 หุ้นในกลุ่มฯหลายตัวก็ยังคงให้ผลตอบแทนรวมที่จำกัด โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อย่าง GULF, CKP, RATCH, EGCO รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่โอกาสเติบโตจำกัดจากการแข่งขันที่สูงจึงทำให้หาโครงการใหม่ต่อยอดการเติบโตได้ยากภายใต้ IRR ที่เหมาะสม

ดังนั้นจึงมีเพียงกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดกลางอย่าง BGRIM และ GPSC ที่ให้ผลตอบแทนรวมสูงและจูงใจในช่วง 15 เดือนข้างหน้านี้ อีกทั้งยังมีแผนขยายการลงทุนที่ชัดเจน ทำให้คาดหวัง upside เพิ่มได้ไม่ยาก ฝ่ายวิจัยจึงยังคงเลือกเป็น Top Picks ของกลุ่มโรงไฟฟ้า สำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button