ใหญ่กว่านี้ได้อีก

สาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่งจะฉลองครบรอบ 70 ปี ไปเมื่อวานนี้ และมีธรรมเนียมที่เคยเห็นกันมาจนคุ้นชินตาคือต้องมีพาเหรดโชว์แสนยานุภาพทางทหาร ซึ่งมีทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ ขีปนาวุธและกองกำลังอันเข้มแข็ง แต่นั่นก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่า “แสนยานุภาพทางเศรษฐกิจ” ที่จีนมีในยามนี้และที่กำลังจะมีในอนาคต


พลวัตปี 2019 : ฐปนี แก้วแดง

สาธารณรัฐประชาชนจีนเพิ่งจะฉลองครบรอบ 70 ปี ไปเมื่อวานนี้ และมีธรรมเนียมที่เคยเห็นกันมาจนคุ้นชินตาคือต้องมีพาเหรดโชว์แสนยานุภาพทางทหาร ซึ่งมีทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ ขีปนาวุธและกองกำลังอันเข้มแข็ง แต่นั่นก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่า “แสนยานุภาพทางเศรษฐกิจ” ที่จีนมีในยามนี้และที่กำลังจะมีในอนาคต

การฉลองครบรอบในปีนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะว่าจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายหลาย ๆอย่าง โดยที่เห็นได้ชัดที่สุดและยังเป็นความท้าทายที่ยังแก้ไม่ตกคือการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกงและการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างชัดเจน

เหมา เจ๋อ ตุงประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปี พ.ศ. 2492  และในเวลาต่อมาได้มีการปฏิวัติวัฒนธรรมในช่วงปี 2509-2519 จนสร้างความวุ่นวายทางการเมืองและทางสังคม แต่เมื่อเติ้ง เสี่ยว ผิง เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจจีนในปี 2520  การค้าและการลงทุนของประเทศได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

จากข้อมูลของธนาคารโลกและองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี)  จีนได้ เกี่ยวพันกับโลกมากขึ้นจนแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลกเมื่อปี 2553 และนับตั้งแต่นั้นมาจีนก็ยังคงครองที่สองมาโดยตลอด โดยเป็นรองจากสหรัฐฯ เท่านั้น

นักเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะโตแซงหน้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ภายในปี 2573 แต่ถ้าวัดจากมาตรฐานการครองชีพกับประเทศต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่าการปรับตัวต่อ “ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ” (purchasing power parity) เศรษฐกิจจีนได้เป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกมาตั้งแต่ปี 2557 เมื่อดูตามข้อมูลของธนาคารโลก

ภายใต้การปกครองของเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำจีนที่โดดเด่นและทรงอำนาจมากที่สุดในช่วงปีพ.ศ.2513-2522   จีนได้เริ่มปฏิรูปเพื่อนำประเทศให้พ้นจากการโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจ  การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในช่วงนั้นเป็นต้นมามีอัตราเฉลี่ย 10% ต่อปี ก่อนที่จะชะลอตัวลงเหลือเฉลี่ย 7.1% ในสมัยของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาที่ได้เปิดเผยเมื่อเดือนมีนาคมของบรู้กกิ้ง อินสติติว ได้ประเมินว่า จีนอาจจะอวดอ้างการเติบโตของจีดีพีเกินจริงในช่วงปี 2551-2559 ประมาณ 1.7 % แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ

ตัวขับเคลื่อนสำคัญหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตคือ เครือข่ายโรงงานที่มีอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งมีการผลิตสินค้าทุกอย่างให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ตั้งแต่ของเล่น จนถึงโทรศัพท์มือถือ จนทำให้จีนได้ฉายาว่าเป็นโรงงานโลก

การเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เมื่อปี 2544 ยิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสถานะโรงงานโลกและได้เป็นพ่อค้ารายใหญ่สุด

รายงานของแมคคินซีย์ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ 186 ประเทศ พบว่า จีนเป็นจุดหมายปลายทางในการส่งออกรายใหญ่สุดแก่ 33 ประเทศ และเป็นแหล่งนำเข้ารายใหญ่สุดของ 65 ประเทศ

นอกจากจะมีอิทธิพลทางการค้าแล้ว จีนยังได้เติบโตจนกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในกระแสการลงทุนโลก โดยตั้งแต่ปี 2558-2560 จีนได้ไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศมากเป็นอันดับสองของโลกและยังเป็นผู้รับการลงทุนในประเทศใหญ่สุดเป็นอับดับสองเช่นกัน

รายงานของแมคคินซีย์ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมายังพบว่า การเกี่ยวพันของจีนกับโลกในปีที่จะมาถึง อาจเพิ่มหรือลดมูลค่าทางเศรษฐกิจของเศรษฐกิจโลกระหว่าง 22 ล้านล้านถึง 37 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2583

แม้ว่าเศรษฐกิจจีนได้โตอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ความทะเยอทะยานของจีนไม่ได้หยุดแค่นั้น ผู้นำจีนได้จัดทำแผนริเริ่มสำคัญที่จะเกี่ยวพันกับทั่วโลกมากขึ้น โดยแผนริเริ่มที่โดดเด่นและมีการพูดถึงมากสุด คือ โครงการเส้นทางสายไหมของศตวรรษที่ 21 หรือ One Belt One Road (OBOR) เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ระหว่าง 60 ประเทศ กับแผนยุทธศาสตร์ “Made in China 2025”  ระยะเวลา 5 ปี (2559-2564)

แผนริเริ่ม “Made in China 2025” นี้จีนเอาแบบอย่างมาจากเยอรมนีโดยจะมุ่งพัฒนาจีนจากประเทศผู้ผลิตยักษ์ใหญ่เป็นประเทศที่มีการผลิตที่แข็งแกร่งภายใน 10 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 2568 โดยจะเปลี่ยนรูปแบบการผลิตที่เน้นปริมาณสู่การผลิตที่เน้นคุณภาพ และมีการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิต

แผนริเริ่มนี้เองที่ทำให้สหรัฐฯ และชาติอื่น ๆ เริ่มตื่นกลัวต่อความยิ่งใหญ่ของจีน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จึงได้เริ่มเปิดฉากทำสงครามการค้ากับจีน โดยเริ่มตั้งแต่เก็บภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมก่อน แล้วจากนั้นก็ลามมาถึงสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันอื่น ๆ อีกหลายชนิดตามมา แถมยังได้ขึ้นบัญชีดำบริษัท หัวเหว่ย เทคโนโลยีส์ ที่ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน

แต่ถึงแม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ทำสงครามการค้ากับจีนมานานเกือบสองปีแล้ว ดูเหมือนว่า ยังไม่สามารถเด็ดหางมังกรอย่างจีนได้สักที และนับวันก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า จีนแข็งแกร่ง และมีศักยภาพที่ยังสามารถเติบโตและมีอิทธิพลได้อีก ดังคำปราศรัยของ สี จิ้นผิง เมื่อวานนี้ที่ว่า “ไม่มีแรงบีบที่สามารถสั่นคลอนรากฐานของประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้” ได้

Back to top button