พาราสาวะถี

ลำพังกระบวนการของขบวนการสืบทอดอำนาจที่ทำให้ประเทศไทยถอยหลังลงคลอง ย้อนยุคไปหลายสิบปีก็ว่าน่าอดสูมากแล้ว การบรรยายของ พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกล่าสุด ยิ่งทำให้เห็นและเป็นการตอกย้ำความพยายามทำให้ประเทศเป็นไดโนเสาร์ กับการพูดถึง “สงครามลูกผสม” และ “คอมมิวนิสต์” ในยุคที่โลกก้าวไปถึงไหนต่อไหน และระบอบที่ท่านอ้างถึงนั้นแม้แต่ประเทศที่เขาปกครองในระบอบดังว่ายังปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยกันแล้ว


อรชุน

ลำพังกระบวนการของขบวนการสืบทอดอำนาจที่ทำให้ประเทศไทยถอยหลังลงคลอง ย้อนยุคไปหลายสิบปีก็ว่าน่าอดสูมากแล้ว การบรรยายของ พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกล่าสุด ยิ่งทำให้เห็นและเป็นการตอกย้ำความพยายามทำให้ประเทศเป็นไดโนเสาร์ กับการพูดถึง สงครามลูกผสม” และ คอมมิวนิสต์” ในยุคที่โลกก้าวไปถึงไหนต่อไหน และระบอบที่ท่านอ้างถึงนั้นแม้แต่ประเทศที่เขาปกครองในระบอบดังว่ายังปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยกันแล้ว

หากเป็นเพียงอาการหวงไข่เรื่องงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเพิ่มขึ้นบานตะเกียงมานับตั้งแต่เผด็จการผู้ล้าหลังครองอำนาจ อาจจะบอกได้ว่าเป็นการแสดงที่เกินบทซึ่งได้รับมาหรือเป็นการเล่นเกินค่าตัวที่จ้างวาน แต่หากบอกว่านี่เป็นอารมณ์ล้วน ๆ จากความไม่พอใจที่ถูกลูบคมและสบประมาท จากนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ตัวเองไม่ชื่นชอบ มันก็ยังตอบไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมต้องผุดผีคอมมิวนิสต์มาเล่นงานฝ่ายเห็นต่าง ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างมันพลวัตจนคนส่วนใหญ่แทบจะไม่มีใครพูดถึงกันอีกแล้ว

หรือจะบอกว่าเป็นปฏิบัติการณ์ตามตำราการศึก ก็คงไม่ใช่เพราะได้ชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ก็ไม่น่าจะศึกษาแก่ตำราสงครามแบบคร่ำครึ พยายามนึกแบบมองโลกสวยและเข้าข้างผบ.ทบ.อย่างเต็มที่ ก็ยังมองไม่เห็นมุมไหนที่จะมาช่วยสนับสนุนแนวคิดและทฤษฎีดังว่าของท่านแม้แต่น้อย เว้นเสียแต่เรื่องความแค้นส่วนตัว ไม่ชอบขี้หน้า ไม่สบอารมณ์กับท่าทีของพรรคเกิดใหม่หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่โดยตำแหน่งและหน้าที่หากต้องการจะเป็นทหารอาชีพก็ต้องเลิกคิด เลิกพูดและเลิกพฤติกรรมอย่างที่ทำอยู่ทั้งหมด

สิ่งที่พล่ามกันมาตลอดกับข้อเสนอของหลายฝ่ายเรื่องการปฏิรูปกองทัพ โดยอ้างว่ามีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทันยุคทันสมัยตลอดเวลานั้น มันก็เป็นแค่คำโกหกพกลม วาทกรรมสร้างโลกสวยหลอกชาวบ้านเท่านั้น การได้เห็นแนวคิดและสิ่งที่ผบ.ทบ.แสดงออกแล้ว ไม่ต้องบอกว่า สมควรที่จะต้องปฏิรูปกันอย่างจริงจังหรือไม่ ต้องย้ำกันอีกครั้งกระมังด้วยท่วงทำนองเช่นนี้นี่ไง ที่ทำให้ทายาทอดีตแกนนำรสช.ไม่กล้ายืนยันว่าจะไม่เกิดการรัฐประหารขึ้นอีก

เหมือนที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ขึ้นเวทีบรรยายตอบโต้นั่นแหละว่า การบรรยายของผบ.ทบ.มีคำใหม่เกิดขึ้นเต็มไปหมด แต่สิ่งที่พูดกระบวนทัศน์ยังอยู่ในยุคสงครามเย็น มองความคิดแตกต่างคือสิ่งที่ผิด ฝ่ายความมั่นคงต้องไปจัดการ สร้างความหวาดกลัว แบ่งแยกแล้วปกครอง ขณะที่ความมั่นคงสมัยใหม่พูดถึงเทคโนโลยี การแก้ไขปัญหาใหญ่ แลกเปลี่ยนองค์ความร่วมรู้ร่วมกัน สิ่งสำคัญคือ Warfare ที่ผบ.ทบ.กล่าวอ้างเขาเปลี่ยนไปเป็น Lawfare กันแล้ว

น่าสนใจตรงที่ตลอดระยะแห่งความขัดแย้งที่ผ่านมา ประเทศไทยติดหล่มแทบทุกเรื่อง ดังนั้น การจะฝากความหวังไว้กับคน 3 กลุ่มจึงไม่น่าจะนำพาชาติบ้านเมืองก้าวพ้นวิกฤติไปได้ ทั้งสามกลุ่มดังว่าก็คือ กองทัพที่ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตย พร้อมแทรกแซงการเมือง พร้อมรัฐประหาร ติดหล่มสงครามเย็น รัฐบาลสืบทอดอำนาจที่ตอนอำนาจล้นมือยังแก้ปัญหาไม่ได้ จะปล่อยให้เข้ามาแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ในเวลานี้คงไม่มีทางสำเร็จแน่นอน

ส่วนพวกสุดท้ายนั้นต้องขีดเส้นใต้นั่นก็คือ สื่อยุยงปลุกปั่น ดาวสยาม 4.0 ซึ่งความจริงในยุคที่สังคมก้าวหน้าไปถึงขนาดนี้ คนจำพวกนี้น่าจะหมดไปได้แล้ว แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ในเมื่อยังมีพวกสื่อโจร
โจรในคราบนายทุน
ทำตัวเป็นสมุนรับใช้เผด็จการสืบทอดอำนาจ เนื่องจากมีผลประโยชน์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน ทำให้กลายเป็นวิน-วินเกม โดยมีหายนะของประเทศเป็นเดิมพัน และประเด็นนี้ส.ว.สายสื่อติดหนวดที่ชอบกระโดดมาปกป้องเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่เนือง ๆ น่าจะมีสำนึกปกป้องบ้านเมืองกันบ้าง

แต่ทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้ยากหรือจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากคนเหล่านี้ก็คือแก๊งหรือขบวนการที่รวมหัวกันสร้างสถานการณ์วิกฤติเทียมเพื่อให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกระทำการรัฐประหารจนก้าวมาประกาศความเป็นผู้ยิ่งใหญ่จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยเฝ้าคอยคงหนีไม่พ้นจุดจบของคนพวกนี้ว่าสุดท้ายมันจะลงเอยแบบไหน ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดผู้นำในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่าจะเผด็จการหรือผ่านการเลือกตั้งส่วนใหญ่มันจะมีอันเป็นไปเพราะการเหลิงอำนาจนั่นเอง

ตามสูตรผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตอบคำถามนักข่าวหลังประชุมครม. ปกป้องคำพูดของผบ.ทบ.เป็นการปลูกฝังความรักชาติ เข้าใจประวัติศาสตร์ ไม่อยากให้ทุกอย่างเกิดความขัดแย้ง จนทำให้นโยบายขับเคลื่อนไม่ได้ต่อไปในอนาคต ขอให้ทุกคนระมัดระวังเท่านั้นเอง ซึ่งผู้ฟังต้องแยกแยะเอาเอง ประโยคหลังนี่แหละที่สังคมแยกแยะแล้วและเห็นว่าสิ่งที่ผู้นำกองทัพบกพูดออกมานั้นมันไม่ได้เป็นอย่างที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพยายามอธิบายแต่อย่างใด

พรุ่งนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 แต่วันนี้วิปสองฝ่ายจะมีการหารือกันรอบสุดท้ายเพื่อเคาะเวลาที่จะอภิปรายกันให้สะเด็ดน้ำ เบื้องต้นยืนยันมาจาก วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล จะใช้เวลาฝ่ายละ 15 ชั่วโมง โดยแยกเป็นรัฐบาล 5 ชั่วโมง ส.ส.รัฐบาล 10 ชั่วโมง แต่มีปมที่ไม่รู้จะถกร่วมกันหรือไม่ที่ฝ่ายค้านอิสระ 2 เสียงขอเวลาแยกต่างหากจากรัฐบาลหรือฝ่ายค้านปกติ

ประเด็นนี้ความจริงไม่ใช่เรื่องหลักหรือมีสาระสำคัญอะไร เพราะความจริงมันอยู่ที่การยกมือว่าจะหนุนหรือค้านร่างพ.ร.บ.งบประมาณของรัฐบาล ในส่วนของ มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ยังมีเครื่องหมายคำถาม แม้ท่าทีจะดูแข็งกร้าว แต่มองไปในการประกอบอาชีพที่อิงแอบกับการตัดสินใจของฝ่ายกุมอำนาจมาตลอดก็มีความโน้มเอียงที่จะยกมือไปในซีกส่วนสนับสนุนรัฐบาล ส่วนเสียงของ พิเชษฐ สถิรชวาล ไม่ต้องสงสัย การไปพบคนโตของรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาลคือคำตอบสุดท้าย

ขณะที่ฟากฝั่งรัฐบาล วิษณุ เครืองาม ก็ทำหน้าที่เนติบริกรอย่างแข็งขัน ด้วยการเตือนรัฐมนตรีทุกคนให้เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียง โดยเฉพาะรัฐมนตรีที่เป็นส.ส.พร้อมคำขู่หากร่างพ.ร.บ.งบประมาณไม่ผ่านสภารัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ ทั้งที่รู้กันอยู่แล้วว่างานนี้ไม่มีพลาด ทุกอย่างต้องพร้อมสรรพ เสียงรัฐบาลไม่มีขาดร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่ต้องลุ้นคือจะมีเสียงเพิ่มเติมมาเท่าไหร่ และเสียงที่โผล่มานั้นมีปัจจัยที่ต้องใช้แลกหรือไม่

Back to top button