JASIF เปิดจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ 7 พ.ย.นี้ มั่นใจสถาบันใช้สิทธิล้น! ดันยีลด์ปี 63 ทะลุ 11%

นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า บริษัทมั่นใจผู้ถือหน่วยของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) เข้าจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่แสดงความจำนงเกินสิทธิ  และ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ก็พร้อมเข้าลงทุนเต็มเพดาน 33% จากปัจจุบันที่ถืออยู่ 19%

ล่าสุด ณ วันที่ 15 ต.ค.62 JASIF มีสัดส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นนักลงทุนสถาบัน 55% แบ่งเป็น นักลงทุนสถาบันในประเทศ 22% นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ 14% และ JAS ถือ 19% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยกว่า 44% มาจากในประเทศ 25,000 ราย คิดเป็น 43.78% และต่างประเทศ 177 ราย คิดเป็น 0.68%

ทั้งนี้ ในวันที่ 7-13 พ.ย.62 เปิดจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ของ JASIF จำนวนไม่เกิน 2,500 ล้านหน่วย ซึ่งผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิจองซื้อที่ 2.2 หน่วยลงทุนเดิม ต่อ 1 หน่วยลงทุนใหม่ ที่ราคาเสนอขาย 9 บาทต่อหน่วยจะระดมทุนเงินได้ 22,500 ล้านบาท และเป็นเงินกู้ จำนวน 15,500 ล้านบาท  รวมทั้งหมด 38,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานประเภททรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสง (Optical Fiber Cable) เพิ่มเติมครั้งที่ 1 จำนวนไม่เกิน 700,000 คอร์กิโลเมตร จาก บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTBB) ทำให้หลังเพิ่มทุนจะมีทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสง ไม่เกิน 1,680,500 คอร์กิโลเมตร ขนาดมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนประมาณ 81,500 ล้านบาท เพิ่มจากก่อนเพิ่มทุนที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนประมาณ 59,000 ล้านบาท

โดยจากการลงทุนสินทรัพย์เพิ่มครั้งนี้คาดว่าในปี 63 จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 8,300 ล้านบาท จากปี 62 ที่คาดว่าจะมี 5,400 ล้านบาท และคาดว่าเงินปันส่วนแบ่งกำไรต่อหน่วยลงทุน (Cash Distribution Per Unit หรือ DPU) ในปี 63  เพิ่มขึ้นเป็น 1.04 บาท/หน่วยในปี 63 จากปี 62 ที่คาด 0.99 บาท/หน่วย

ทั้งนี้ คาดว่าในปี 63 อัตราผลตอบแทน (Yield) จะเพิ่มมาเป็น 11.5% บนราคา 9 บาท/หน่วย แต่หากราคาปรับขึ้น yield ก็ปรับตัวลง ขณะที่ในปี 62 คาด Yield อยู่ที่ 8.3% บนราคา 11 บาท/หน่วย  ทั้งนี้เหตุผลที่ Yield ดีขึ้น เพราะ DPU ดีขึ้น

สำหรับ ในภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดอยู่ในระดับต่ำและประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังต่ำอยู่ในช่วง 1-2 ปี กองทุน JASIF น่าจะตัวเลือกในการลงทุน เพราะนอกจาก Yield อยู่ในระดับดี ซึ่ง JASIF ถือเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มี Yeild ดีเป็นอันดับ 2 ของทั้งหมดที่มี 8 กองทุน  และเงินปันผลที่ได้รับยังสามารถยกเว้นภาษี ได้อีก 5 ปี หลังจาก JASIF ได้จ่ายเงินปันผลไปแล้ว 5 ปี  ทั้งนี้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา JASIF จ่ายเงินปันผลและเงินลงทุนแล้ว รวม 4.07 บาท/หน่วย หรืออัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 8-9%ต่อปี

นอกจากนี้ JASIF ได้รับการต่ออายุสัญญาเช่าจาก TTTBB ของทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสง สัดส่วน 80% ของสินทรัพย์ครั้งแรก ที่มี 980,000 คอร์กิโลเมตร ที่จะหมดสัญญาในวันที่ 22 ก.พ.2569 ขยายออกไปหมดอายุในวันที่ 22 ม.ค.2575 จะช่วยให้ กองทุน JASIF มีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้นอีก 6 ปีข้างหน้า และ TTTBB จะรับผิดชอบการนำเส้นใยแก้วนำแสงลงดิน และบำรุงรักษา จากเดิมบลจ.บัวหลวง ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายในการนำเส้นใยแก้วนำแสงลงดินและบำรุงรักษา เดือนละ 80 ล้านบาท  รวมทั้งยังมีโอกาสที่ JAS จะขายทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงที่มีอยู่อีก 200,000 คอร์กิโลเมตร ทั้งนี้ อายุการใช้งานของเส้นใยแก้วนำแสงถึง 35 ปี ขณะที่ทรัพย์สินที่ JASIF ลงทุนมีอายุเฉลี่ย 3 ปี

นายพรชลิต กล่าวว่า กองทุน JASIF มีโอกาสเติบโตการต้องการใช้อินเทอร์เน็ตสูงขึ้น โดยปัจจุบันอัตราการเข้าถึงในไทยอยู่ที่ 40% ของจำนวนประชากร ซึ่งถือว่าต่ำกว่าประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน รวมทั้ง การพัฒนาเทคโนโลยี 5G รวมถึง WiFi6 และ Internet of Thing (IoT)  การให้บริการคอนเทนต์ระดับไฮเอนด์ นโยบายรัฐบาลผลักดันโครงการให้มีอินเทอร์เน็ตใช้งานทุกหมู่บ้าน และการใช้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายและบรอดแบนด์แบบมีสาย (Fixed Broadband) เติบโตควบคู่กันไป โดย TTTBB มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 32% ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของตลาด

ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลงโทษผู้บริหาร JAS  ความผิดฐานสร้างราคาหุ้น รวมถึงราคากองทุน JASIF ในตลาดได้ปรับตัวลดลงนั้น นายพรชลิต กล่าวว่า เรื่องนี้กองทุน JASIF ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เพราะไม่ได้ลงทุนหุ้น แต่ลงทุนทรัพย์สินจาก JAS ซึ่งทรัพย์สินมีลูกค้าอยู่แล้ว ส่วนราคา JASIF ในตลาดปรับตัวลงตามภาวะตลาดที่ปรับตัวลง ขณะที่  JAS จะได้รับเงินจากการขายทรัพย์สินให้กองทุน JASIF จำนวน 3.8 หมื่นล้านบาทหลังจากเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนไปแล้ว 1 สัปดาห์