BBL เพิ่มสำรองเสริมแกร่งตามคาดกูรูแนะซื้อหลังปรับฐานจนราคาถูกจัด

การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อ NPL และ credit cost เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกลุ่มฯ แต่ด้วยความแกร่งของคุณภาพสินทรัพย์เป็นทุนเดิม บวกกับราคาหุ้นที่ปรับฐานลงลึกมาก ทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงชอบ BBL ที่ราคานี้ แถมด้วยปันผลเฉลี่ย 4%


บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ก.ค.) ว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/58 ตามคาดเท่ากับ 8.03 พันล้านบาท หดตัวถึง 14.6% จากไตรมาสก่อน และ 11% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ทำระดับต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาสที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยกดดันจากเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ ของค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ ด้วย credit cost เฉลี่ยที่ 65bp สอดคล้องกับการปรับเพิ่มเป้าหมายค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ ทั้งปี 2558 ขึ้นมาเป็น 1 หมื่นล้านบาท จากเดิม 8.5-9 พันล้านบาท และรองรับการเพิ่มขึ้นของ NPL (งบรวม) ถึง 8.65 พันล้านบาทในงวดนี้ มาที่ 2.5% ณ สิ้นไตรมาส 2/58 จาก 2.2% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 1/58

ขณะที่ธุรกิจหลักในงวดนี้ยังอ่อนแอเช่นกัน โดยเห็นการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ ตามธุรกรรมสินเชื่อที่ยังชะลอตัว และ NIM ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงไป 2 รอบที่ผ่านมา แม้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังไม่เห็นผลบวกในงวดนี้ อีกทั้งฐานเงินฝากที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ล้วนเป็นปัจจัยกดดันต่อ NIM เช่นเดียวกับรายได้ค่าธรรมเนียมฯ ที่หดตัวตามธุรกรรมสินเชื่อที่ชะลอตัว

สำหรับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดำเนินงานในงวดนี้ ส่วนใหญ่จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายอาคาร สถานที่และอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทำให้ Cost to income ratio ในไตรมาส 2/58 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยฯ มาที่ 47.21% จากที่ต่ำผิดปกติเพียง 41.43% ในไตรมาส 1/58 อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นปัจจัยบวกจากคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ รายได้จากเงินปันผล และกำไรจากธุรกรรม Fx แต่โดยรวมแล้ว ปัจจัยลบที่มีน้ำหนักมากกว่า จึงทำให้กำไรสุทธิงวดนี้หดตัวลง

 

ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2558-59 โดยคาดกำไรสุทธิปี 2558 หดตัวลง 4% จากปีก่อน แต่จะพลิกกลับมาเติบโต 8.9% ในปี 2559 ภายใต้มุมมองเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2558

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 58 คาดว่าน่าจะทรงตัวได้เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2558 เนื่องจากการฟื้นตัวของ NIM ที่จะได้อานิสงค์จากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ทยอยลดลง ทั้งจากการปรับดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมา และการครบกำหนดของเงินฝากประจำระยะ 7 เดือนและ 11 เดือนที่ได้ออกไปในปี 2557 ประกอบกับการเติบโตของสินเชื่อที่คาดหมายว่าจะสูงขึ้นในช่วงฤดูกาลซึ่งจะไปหักล้างกับผลกระทบจากการเร่งตัวขึ้นของค่าใช้จ่ายดำเนินงานเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาลเช่นกัน และทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิครึ่งปีหลังของปี 2558 น่าจะยังทรงตัวได้ใกล้เคียวกัน

 

แนะนำซื้อ โดยการปรับฐานของราคาหุ้นลงมาจนอยู่ในระดับที่ถูกมาก ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังของ PBV ในช่วง 12 ปีที่ราว 1.15 เท่า กว่า 2SD แล้ว อีกทั้งยังมีส่วนลดจาก Fair value ปี 2558 ที่ 194 บาท อิง PBV 1.07 เท่า ภายใต้คาดการณ์ ROE ระยะยาวที่ 11.5%

Back to top button