ได้เวลาเก็บ 3 หุ้นรับเหมาฯ รอวันฟื้น หลังราคาทำจุดต่ำสุด โบรกฯชี้สะท้อนความเสี่ยงทุกด้าน!

ได้เวลาเก็บ 3 หุ้นรับเหมาฯ รอวันฟื้น หลังราคาทำจุดต่ำสุด โบรกฯชี้สะท้อนความเสี่ยงทุกด้าน!


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจรวบรวมข้อมูลและบทวิเคราะห์ของบริษัทจดทะเบียนในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ราคาปรับตัวลดลงอย่างหนัก หลังประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/62 ออกมามีการชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลงสะท้อนความเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงและความล่าช้าของงานภาครัฐ ดังนั้น จึงมีการปรับคำแนะนำเป็น  “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”

โดย บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน)  แนะนำ “BUY” STEC ราคาเป้าหมาย 20.20 บาท/หุ้น โดยมองว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 272 ลบ.-28% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน, +1.6% จากไตรมาสก่อน ดีกว่าที่ตลาดคาด +4.2% ต่ำกว่าที่เราคาดเล็กน้อย -4% แต่สำหรับกำไรปกติของ STEC จะอยู่ที่ 337 ลบ. -11% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน , +25% จากไตรมาสก่อน โดยในไตรมาสนี้มีบันทึกรายการพิเศษเป็นค่าปรับมูลค่า 64.96 ลบ. กรณีที่บริษัทถูกฟ้องว่าทำผิดสัญญาจากผู้ว่าจ้างรายหนึ่งซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำตัดสินของศาลชั้นต้นส่วนศาลฎีกาก็ให้คดีนี้เป็นอันสิ้นสุด อย่างไรก็ตามหากเราพิจารณาจากผลการดำเนินงานหลักของ STEC ก็มีแนวโน้มดีขึ้นเริ่มจากรายได้ก่อสร้างที่เติบโตโดดเด่น +24.7% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน, +23.7% จากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจาก Backlog ที่แข็งแกร่งกว่า 9 หมื่น ลบ. ขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของไตรมาสนี้ก็ขยับขึ้นมาที่ระดับ 5.4% เทียบกับไตรมาสก่อนที่ 5.1% สะท้อนการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ดีขึ้น

สำหรับกรณีข่าวที่มีการชี้มูลความผิดต่อผู้บริหารและบริษัทจาก ปปช. กรณีติดสินบนเจ้าหน้าที่ล่าสุดทาง STEC ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาและเตรียมพร้อมสู้คดีจนถึงที่สุด ทางฝั่งของ ปปช. ก็จะส่งคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดให้ดำเนินคดีต่อ จากกรณีดังกล่าวไม่มีผลต่อทาง STEC ให้ถูก Blacklist การเข้าประมูลงานในอนาคต และหากศาลมีคำตัดสินให้ STEC มีความผิด ในฐานะนิติบุคคลก็จะเสียค่าปรับเป็นจำนวนเงินไม่มาก สำหรับผู้บริหารทั้ง 2 รายหากศาลมีคำตัดสินให้มีความผิด โทษก็อาจจะถูกจำคุกและเสียค่าปรับตามแต่ดุลยพินิจของศาล อย่างไรก็ตามทางฝั่งผู้บริหารก็มีความมั่นใจในหลักฐานและพร้อมที่จะสู้คดีจนถึงที่สุด

ขณะที่ในปีหน้ามีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานหลักเพราะรายได้ก่อสร้างยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องตาม Backlog ที่แข็งแกร่งและอัตรากำไรของงานก็มีแนวโน้มที่จะสูงกว่าปีนี้ ในปีหน้างานใหม่ที่ทาง STEC สนใจเข้าประมูลได้แก่รถไฟฟ้าสายสีส้ม บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่ากว่า 1.2 แสน ลบ. ซึ่ง STEC ก็เป็นหนึ่งในผู้รับเหมาที่มีโอกาสได้งาน นอกจากนี้หลังจากการอนุมัติงบประมาณปี 2563 ของรัฐบาลในช่วงต้นปีหน้า เราก็น่าจะได้เห็นโปรเจคใหม่ๆ ทยอยเข้ามาให้ผู้รับเหมาได้ประมูล

ประมาณการกำไรปี 2562-2563 เอาไว้ที่ 1.23 พัน ลบ. และ 1.41 พัน ลบ. -23.9% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน , +14.7% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ตามลำดับ สำหรับราคาเป้าหมายฝ่ายวิจัยได้ขยับไปใช้มูลค่าเหมาะสมในปี 2563 ที่ 20.20 บาท อิง Avg PE-1SD = 21.82X โดยเหตุผลที่เราปรับลด P/E ลงมาเพื่อสะท้อนความเสี่ยงในด้านธรรมาภิบาลของบริษัท ซึ่งอาจจะมีผลต่อการลงทุนของกองทุนที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับประเด็นนี้ อย่างไรก็ตามราคาหุ้นในปัจจุบันได้ปรับตัวลงมารับปัจจัยลบดังกล่าวไปบางส่วนแล้วประกอบกับ Upside ที่ยังมีอยู่มากเราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ขณะเดียวกัน บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) แนะนำ “BUY On Weakness” CK ราคาเป้าหมาย 24 บาท/หุ้น โดย CK รายงานกำไรสุทธิที่ 205 ล้านบาท ลดลง 84% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน, ลดลง 78% จากไตรมาสก่อนต่ำกว่าคาด นับเป็นอีกหนึ่งไตรมาสที่ผลการดำเนินงานหลักอ่อนตัวกว่าที่ตลาดคาด กำไรสุทธิออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ถึง -49% ซึ่งก็มีที่มาจาก 2 สาเหตุหลัก อันดับแรกคือรายได้ก่อสร้างในไตรมาส 3 ที่ลดลงกว่า -33%จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน , -12% จากไตรมาสก่อน ส่วนงวด 9 เดือนรายได้ก่อสร้างก็ลดลงลงไป -19%จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน เช่นกัน Backlog ณ สิ้นไตรมาส 3 เหลืออยู่ที่ 3.5 หมื่น ลบ. ระหว่างงวดไตรมาส 3 มีการบันทึก Backlog เพิ่มเข้ามา 2 พัน ลบ. จากงานศูนย์บริการทางการแพทย์สภากาชาดไทยขณะเดียวกันก็มีการยกเลิก Backlog ออกไป 4 พัน ลบ. ในงานศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยขอนแก่น (เกิดการทักท้วงและจัดประมูลใหม่: CK ไม่ชนะ)

ส่วนงานทางด่วนพระราม 3 ดาวคะนองสัญญาที่ 4 มูลค่า 6.2 พัน ลบ. กว่าจะเซ็นต์สัญญาและรับรู้เป็น Backlog ได้น่าจะเป็นช่วงปลายไตรมาส 4 ส่วนสาเหตุที่ 2 คือส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงอย่างนัยสำคัญ ซึ่งก็มาจากบริษัทที่ CK ถือหุ้นอยู่ไม่ว่าจะเป็น BEM (ไตรมาสนี้ไม่มีบันทึกกำไรจากการเปลี่ยนสถานะเงินลงทุน) และ CKP ที่กำไรชะลอตัวลงตามรายได้การขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าน้ำงึม ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำน้อยกว่าค่าเฉลี่ย จาก 2 เหตุผลหลักนี้ทำให้ผลการดำเนินงานของ CK ลดลงไปมาก ฝั่งต้นทุนการดำเนินงานถือว่า CK ควบคุมได้ดีขึ้นโดยมีอัตรากำไรขั้นต้น ไตรมาส 3/62 ที่ระดับ 8.9% เทียบกับ 8.2% ใน 3Q61 และ 8.07% ใน 2Q62

สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ก็จะคล้ายกับช่วงไตรมาส 3 แต่ก็อาจจะดีกว่าเล็กน้อยตามการเร่งงานในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตามหากเราแยกรายได้การก่อสร้างตาม Backlog ปัจจุบัน งานหลักที่คาดว่าจะสร้างรายได้ต่อไตรมาสที่ระดับ มากกว่า 1,000 ลบ./งาน จะเหลือเพียง 2 งาน คือ งานรถไฟฟ้าสายสีส้มและงานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนที่เหลือรายได้ต่องานจะเป็นหลักร้อย ลบ. ซึ่งก็จะทำให้ภาพรวมของงานก่อสร้างมีรายได้ที่ทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน หากมองข้ามไปปีหน้ายังต้องลุ้นงานใหม่หลังการอนุมัติงบประมาณปี 2563 ว่ารัฐบาลจะมีงานรูปแบบใดเข้ามาให้ประมูลก่อน

เบื้องต้นงานที่มีความเป็นไปได้ในการขายซองได้แก่ งานรถไฟสายสีแดงมูลค่ารวม 6 หมื่น ลบ. และสายสีส้มมูลค่ารวม 1.2 แสน ลบ. ส่วนงานในต่างประเทศที่ CK สนใจคืองานทางด่วนที่ย่างกุ้ง ประเทศพม่า สำหรับงานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่เพิ่งเซ็นต์สัญญาไปในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างการเจรจากับหลายฝ่าย การแบ่งสัดส่วนของงานและการเซ็นต์สัญญากับผู้รับเหมาอย่างเร็วน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 63 ซึ่งกว่าจะเข้าไปเคลียร์พื้นและเตรียมก่อสร้างคงเป็นปี 2564 เป็นต้นไป จากความล่าช้าในการเซ็นต์สัญญางานใหญ่ประกอบกับ Backlog ของ CK ที่ค่อยๆลดลงเราจึงมีมุมมองเชิงลบต่อผลการดำเนินงานในปี 2563 ของทาง CK

ประเมินกำไรสุทธิในปี 2562-2563 ที่ระดับ  1.8 พัน ลบ. และ 1.44 พัน ลบ. -27%จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน , -20%YoY ตามลำดับ ประเมินราคาเป้าหมายปี 2563 ที่ 24.00 บาท ใช้วิธี SOTP ปัจจุบันแม้ราคาจะมี Upside อยู่มากแต่จากทิศทางผลการดำเนินงานปีหน้าที่มีโอกาสชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนตาม Backlog ที่ลดลง ขณะเดียวกันความล่าช้าในการรับงานเข้ามาใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่กดดันราคาอยู่ เราจึงปรับคำแนะนำลงจาก “ซื้อ” เป็น”ซื้อเมื่ออ่อนตัว”

 

ด้าน บล.เคทีซีมิโก้ แนะนำ “Buy” STEC ราคาเป้าหมาย 24 บาท/หุ้น โดยราคาหุ้น STEC ปรับตัวลดลงอย่างมีนัย หลัง ปปช. ชี้มูลความผิด STEC และผู้บริหาร 2 ท่าน เข้าไปสนับสนุนการรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐฯ อย่างไรก็ตาม STEC ยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหาและพร้อมเข้าสู่กระบวนการทางศาล ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลายาวนาน ประมาณการกำไรสุทธิของเราไม่ถูกกระทบจากเรื่องนี้ เนื่องจาก STEC ยังคงดำเนินกิจการตามปกติ โดยไม่ถูกขึ้นบัญชีดำในการประมูลงานภาครัฐฯ อิงจาก พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างในปัจจุบันเราคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ STEC

 

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) แนะนำ “BUY On Weakness” UNIQ ราคาเป้าหมาย 9.50 บาท/หุ้น แม้ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3 จะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดเล็กน้อย +4.8% แต่ก็ต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ราว -7% ซึ่งมีที่มาจากรายได้ก่อสร้างที่ลดลง -5.58%YoY, -3.71% จากไตรมาสก่อน อันเป็นผลจากความล่าช้าในการรับงานเข้ามาใหม่ ขณะที่ Backlog ณ สิ้นไตรมาส 3 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.6 หมื่น ลบ. ส่วนฝั่งต้นทุนการดำเนินงาน UNIQ ยังคงควบคุมต้นทุนได้ดีต่อเนื่องโดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/62 ที่ระดับ 21.48% เทียบกับไตรมาส 3/61 ที่ 19.51% และไตรมาส 2/62 ที่ 21.55% งานหลักที่ทยอยรับรู้รายได้มาจากงานรถไฟฟ้าสายสีส้มสัญญาที่ 6 และงานก่อสร้างรถไฟทางคู่ ลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญาที่ 1 และ 2 สำหรับงานรถไฟฟ้าสายสีส้มจากรายงานความคืบหน้างวดเดือนตุลาคมยังเป็นไปตามแผน แต่งานก่อสร้างรถไฟทางคู่ ลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญาที่ 1 และ 2 มีความล่าช้ากว่ากว่าแผนของปีนี้อยู่ราว -18% และ -23% ตามลำดับ ซึ่งรายละเอียดเราจะขอกล่าวในหัวข้อถัดไป

สำหรับในไตรมาส 4 เราคาดว่า UNIQ จะพยายามเร่งงานให้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะงานรถไฟฟ้าสายสีส้ม อย่างไรก็ตามในส่วนของงานรถไฟทางคู่ ลพบุรี-ปากน้ำโพ สัญญาที่ 1 และ 2 ที่ยังล้าช้าอยู่นั้นยังมีปัญหาอยู่หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างสถานี ยกตัวอย่างเช่นสถานีจันเสนใหม่ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างใหม่ ส่วนสถานีไผ่ใหญ่และสถานีห้วยแก้วก็ถูกปรับจากสถานีเป็นที่หยุดรถ เป็นต้น อีกส่วนงานที่ล้าช้าคืองานราง/ท่อระบายน้ำที่ขาดแคลนคนงาน จากเหตุผลที่กล่าวมาเราจึงคาดกาณ์ว่ารายได้ก่อสร้างทั้งปีของทาง UNIQ น่าจะชะลอตัวลงราว -8.2% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

ส่วนงานใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเติม Backlog ได้แก่งานก่อสร้างรถไฟไทยจีนสัญญาที่ 4-6 มูลค่า 9.4 พัน ลบ. ซึ่งทาง UNIQ เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดและต่ำกว่าราคากลางประมาณ -16% ส่วนงานประมูลงานใหม่คงต้องรอหลังวันที่ 27 มกราคม 2563 หลังจากที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณปี 2563 และนำขึ้นทูลเกล้าฯ หลังจากนั้นเราจึงจะได้เห็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆทยอยเข้ามาให้ประมูล

ภาพรวมของกลุ่มผู้รับเหมายังเผชิญแรงขายทำกำไรหลังจากการรายงานงบไตรมาส 3 แม้ว่าหลายรายผลการดำเนินงานจะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย แต่ความกังวลของตลาดอยู่ที่ Backlog (ยกเว้น STEC) ที่ยังลดลงอย่างต่อเนื่องเทียบกับฐานรายได้ก่อสร้างต่อปีขณะที่งานใหม่ก็มีความล้าช้า ในส่วนของประมาณการกำไรปี 2562-2563 เราคาดการณ์ไว้ที่ 772 ลบ. และ 819 ลบ. -3%จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ +6%จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ตามลำดับ และประเมินราคาเป้าหมายของปี 2563 ที่ 9.50 บาท อิง Avg P/E-1.5SD = 12.54X ล่าสุดราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2014 สะท้อนความเสี่ยงต่างๆไม่ว่าจะเป็นผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงและความล่าช้าของงานภาครัฐเบื้องต้นเราจึงมีการปรับคำแนะนำลงจาก “ซื้อ” มาเป็น แนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”

 

 

Back to top button