ตั้งฐานรอบที่ 3

*การอ่อนตัวของดัชนีจนหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 1,600 จุดเป็นครั้งที่ 3 กลายเป็นเรื่องพื้น ๆ สำหรับความคิดของ “โมนิก้า” ไปเสียแล้ว เพราะของมันเห็นกันทนโท่ว่า ไม่มีแรงจูงใจที่ทำให้นักเล่นกลุ่มสถาบันทุ่มทุนซื้อหุ้นอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนเมื่อก่อน ส่งผลให้การขึ้นลงเที่ยวนี้เป็นเพียงการเล่นรอบธรรมดา จึงไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหาเหตุผลมาซัพพอร์ตอีกต่อไปนะจ๊ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*การอ่อนตัวของดัชนีจนหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 1,600 จุดเป็นครั้งที่ 3 กลายเป็นเรื่องพื้น ๆ สำหรับความคิดของ “โมนิก้า” ไปเสียแล้ว เพราะของมันเห็นกันทนโท่ว่า ไม่มีแรงจูงใจที่ทำให้นักเล่นกลุ่มสถาบันทุ่มทุนซื้อหุ้นอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนเมื่อก่อน ส่งผลให้การขึ้นลงเที่ยวนี้เป็นเพียงการเล่นรอบธรรมดา จึงไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหาเหตุผลมาซัพพอร์ตอีกต่อไปนะจ๊ะ

*ฉะนั้นการที่ดัชนีลงมายืนปิดที่ 1,597.68 จุด ลบไป 9.59 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.31 หมื่นล้านบาท ย่อมเป็นภาพที่สะท้อนถึงความอ่อนแอทางด้านจิตใจของนักเล่น จึงหันมาใช้วิธีชะลอการลงทุนเพื่อปิดความเสี่ยงของตัวเองกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้มูลค่าการซื้อขายต่อวันต่ำกว่าระดับ 5 หมื่นล้านบาทแบบนี้..เท่ากับเป็นการเข้าสูตรลงทุนที่ว่า “ขายก่อน” เรื่องอื่นค่อยเม้าท์กันทีหลังเจ้าค่ะ

*ด้วยเหตุนี้ถึงเห็นฝรั่งตาน้ำข้าวเทขายหุ้นออกมาไม่หยุดหย่อน และกลุ่มเป้าหมายที่โดนจัดหนักยังกระจุกตัวอยู่ที่หุ้นบลูชิพ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นเข้าใจถึงรูปแบบของการเล่นต่อจากนั้นจะลำบากยากเย็นแสนเข็ญขึ้นเรื่อย ๆ เพราะโมเมนตัมของหุ้นออกไปในโทนจุดสูงสุดของการขึ้นแต่ละรอบต่ำลงเรื่อย ๆ ซึ่งกลายเป็นตัวบั่นทอนกำลังใจนักเล่นที่เข้าซื้อหุ้นเมื่อยกตัวขึ้นนะจะบอกให้

*ประเด็นนี้ดูได้จากหุ้นโรงหมอพิมพ์นิยม BDMS มักถูกเทขายเมื่อยกตัวสูงขึ้นเป็นประจำ เท่ากับเป็นการบอกใบ้ให้นักเล่นทั่วไปได้รู้ว่า อย่าหวังจะได้เห็นหุ้นแรลลี่ไปกว่าระดับ 25 บาทอีกเลย เพราะรอบก่อนก็โดนเทขายที่บริเวณนี้เช่นกัน “โมนิก้า” ถึงมองการวิ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 24.60 บาท บวกไป 0.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.59 พันล้านบาท น่าจะเป็นเพียงการหยั่งเชิงแรงซื้อจะมีเข้ามาเยอะขนาดไหนเท่านั้นเองค่ะ

*สอดคล้องกับท่าทีของหุ้น CKP ทรุดตัวลงมายืนปิดที่ระดับ 5.40 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 5.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 410 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 7 เดือน มันหมายถึงสตอรี่ของหุ้นได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว และต่อจากนี้จะเต็มไปด้วยแรงเทขาย “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักเล่นเข้าใจการอ่อนตัวลงจากนี้ ล้วนเป็นผลมาจากราคาหุ้นโอเวอร์แอ็กติ้งเกินไปหน่อย และหุ้นกำลังเข้าสู่โหมดแห่งความเป็นจริงนะคะ

*คล้ายคลึงกับกรณีหุ้น AWC ของเจ้าสัวคนเก่งของประเทศไทย ก็มาจากประเด็นความเพ้อฝันที่มาเร็วเกินไปหน่อย เมื่อทุกคนหูตาสว่างมากขึ้นกว่าเดิม จึงไม่มีใครเข้ามาไล่ราคาหุ้นอย่างบ้าระห่ำอีกต่อไป วานนี้ถึงเห็นหุ้นยืนเป็นไก่หงอยด้วยการปิดเสมอตัวที่ระดับ 5.90 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 197 ล้านบาท ซึ่งเดี๊ยนมีความเห็นว่า ก็ควรเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เพราะมันไม่มีสตอรี่มาขับเคลื่อนแล้วน่ะซี

*ขนาดหุ้นการเมืองที่คิดว่าเจ๋งสุดอย่างเช่น STEC ยังไม่รอดจากเงื้อมมือแรงเทขายไปได้เลย “โมนิก้า” คงไม่มีความจำเป็นต้องเอาเรื่องอื่น ๆ มาอธิบายให้มากความ เพราะของมันเห็นกันเต็มตาว่า กำลังโดนเล่นงานอย่างหนัก จนนักเล่นต้องขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อไปอย่างไม่มีกำหนด เลยทำให้หุ้นที่มีทีท่าจะตั้งลำขึ้นได้ใหม่อีกรอบ ต้องลงมานอนกองอยู่ที่ระดับ 14.60 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 3.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 380 ล้านบาทไงล่ะจ๊ะ

*ส่วนรายที่ลากไปเชือดเพื่อเป็นการสั่งสอน “โมนิก้า” คงให้ความสำคัญกับหุ้นสายการบิน AAV หลังหุ้นลงมานอนกลิ้งเกลือกที่ระดับ 2.24 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 4.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 68 ล้านบาท ทั้งที่วันก่อนเพิ่งทะยานขึ้นแรงได้ไม่ทันไร เดี๊ยนถึงสงสารคนที่ออกของไม่ทันเหลือเกิน เพราะหุ้นมีโอกาส “ลงมากกว่าขึ้น” จึงอยากให้นักเล่นเริ่มคิดหาทางหนีทีไล่ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะคะ

*สำหรับรายที่ต้องคิดว่า ไปต่อไหม ? คงไม่มีใครเกินหน้าเกินตาไปกว่า KCE หุ้นที่ได้ชื่อว่า “เทิร์นอะราวด์” อย่างสมบูรณ์แบบ และการเล่นเที่ยวนี้ก็มาจากความเชื่อที่ว่า ตัวเลขส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หุ้นถึงขยับขึ้นมาปิดที่ระดับ 19.50 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 523 ล้านบาท แต่น่าเสียดายที่หุ้นวิ่งขึ้นมาชนแนวต้านบริเวณ 20.50 บาทพอดิบพอดีแบบนี้ เดี๊ยนเลยไม่แน่ใจว่า วันนี้จะมีแรงซื้อเข้ามาดันหุ้นขึ้นได้อีกไหม ?

*ป.ล. การตั้งฐานอย่างเป็นรูปธรรมหนที่ 3 เที่ยวนี้ น่าจะเกิดขึ้นบริเวณ 1,580 จุดมากกว่าบริเวณอื่น เพราะเป็นจุดที่นักเล่นคุ้นขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี และยังเป็นจุดที่ค่อนข้างเซฟตี้สำหรับการเล่นรอบ จึงอยากให้แฟนคลับลองคิดเรื่องนี้กันดูสักนิดหนึ่งนะคะ

Back to top button