พาราสาวะถี

ชื่นมื่นกันไปกับการกินข้าวมื้อค่ำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคร่วมรัฐบาล งานนี้ก็อย่างที่ปรากฏเป็นข่าว มีการเดินทักทายทุกโต๊ะ โดยเฉพาะพรรคจิ๋วที่ได้รับตำแหน่งส.ส.เอื้ออาทรจากการคำนวณสูตรปาร์ตี้ลิสต์แบบพิสดาร สุดท้ายจบลงด้วยการที่จะไม่มีฝ่ายค้านอิสระในสภาอีกต่อไป โดยมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ และ พิเชษฐ สถิรชวาล สองคู่หูดูโอ อ้างพิธีกรรมของพรรคสร้างภาพความชอบธรรม ก่อนกลับไปร่วมรัฐบาลในต้นปีหน้า


อรชุน

ชื่นมื่นกันไปกับการกินข้าวมื้อค่ำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคร่วมรัฐบาล งานนี้ก็อย่างที่ปรากฏเป็นข่าว มีการเดินทักทายทุกโต๊ะ โดยเฉพาะพรรคจิ๋วที่ได้รับตำแหน่งส.ส.เอื้ออาทรจากการคำนวณสูตรปาร์ตี้ลิสต์แบบพิสดาร สุดท้ายจบลงด้วยการที่จะไม่มีฝ่ายค้านอิสระในสภาอีกต่อไป โดยมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ และ พิเชษฐ สถิรชวาล สองคู่หูดูโอ อ้างพิธีกรรมของพรรคสร้างภาพความชอบธรรม ก่อนกลับไปร่วมรัฐบาลในต้นปีหน้า

เป็นไปตามประกาศิตของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหลังกินข้าว นี่แหละน้ำคำนักการเมือง ถ้าจำกันได้ก่อนหน้านี้หลังเต้ พระราม 7 ประกาศถอนตัวจากซีกรัฐบาล เสี่ยหมาก็ตั้งโต๊ะแถลงตามด้วยอ้างศักดิ์ศรีรับไม่ได้กับการถูกปรามาสว่าเป็นลิงกินกล้วย เป็นการตอกย้ำความมีสัจจะของนักการเมืองได้เป็นอย่างดี และถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานของการปฏิรูปการเมืองที่ล้มเหลว ทุกท่วงท่าที่ดำเนินไปเพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล ต่างเต็มไปด้วยผลประโยชน์

แน่นอนว่าสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าสาธารณชนจะเต็มไปด้วยวาทกรรมเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แต่ถามว่าเพื่อให้ได้มากับ 1 เสียงหนุนรัฐบาลมีเสถียรภาพนั้นต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง อุดมการณ์ การยึดมั่นในผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งอย่างนั้นหรือ ความจริงเป็นอย่างไรสังคมย่อมรับรู้กันได้ และไม่ใช่เรื่องที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะออกมาเรียกร้องสื่อว่าขอให้ลดนำเสนอข่าวความขัดแย้งเสียบ้าง

ความจริงที่ปรากฏต่อหน้าจนต้องนัดมีตติ้งกันนั้น ก็ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งกันเองของพรรคร่วมรัฐบาลหรอกหรือ สถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่เวลานี้หาได้มีคู่ขัดแย้งที่กระเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไม่ ก็มีแต่พวกเดียวกันในรัฐนาวาเรือเหล็กนั่นแหละที่ขัดขาขัดคอกันเองในหลาย ๆ เรื่อง ที่สำคัญเหตุที่ทำให้ท่านผู้นำถึงกับควันออกหูถึงกับประกาศลั่น “ถ้าผมอยู่ไม่ได้พวกคุณก็อยู่ไม่ได้” นั้นก็เกิดจากความไม่พอใจที่สภาล่มจากปมไม่ยอมให้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาการใช้ม.44 นั่นปะไร

จะว่าเป็นความใจแคบของเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ใช่ จะว่าเป็นความใจร้ายของผู้ถืออำนาจที่ไม่ยอมให้พรรคร่วมรัฐบาลในส่วนของพรรคที่เสนอญัตติได้มีจุดยืนของตัวเองก็ด้วย ไม่เพียงแต่จะห้ามไม่ให้เกิดกระบวนการตรวจสอบสิ่งที่พรรคพวกตัวเองได้กระทำไปในคราวถืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเท่านั้น ยังประกาศิตให้พวกที่ร่วมลงเรือลำเดียวกัน ต้องเดินตามก้นอย่าได้หือด้วย คงอยู่ที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะเลือกศักดิ์ศรีของตัวเองและพรรคหรือความอยู่รอดของพรรคในรัฐบาล

คงไม่ต้องคาดเดา และก็ล้างหูรอฟังคำแก้ตัวของแกนนำพรรคเก่าแก่ได้เลย ถึงการที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพราะในที่ประชุมครม.นอกจากคำขู่ของท่านผู้นำแล้ว ยังสำทับด้วยระดับผู้นำของพรรคสืบทอดอำนาจที่แสดงความไม่พอใจกันอย่างหนักทีเดียว ไล่ตั้งแต่การทวงบุญคุณจากพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา “ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ผมก็ช่วยดูแลบ้านเมือง ทำไมมาตอนนี้พวกผมชวนมาเป็นรัฐบาล ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ทำแบบนี้ รู้ไหมบ้านเมืองขณะนี้เป็นอย่างไร”

สมน้ำหน้าก็ดันไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารกันเอง ก็ต้องถูกเขาตามทวงบุญคุณไม่รู้จักจบสิ้นอย่างนี้แหละ และบุญคุณที่คนพวกนี้มีต่อกันก็ตั้งอยู่บนความเชื่อว่าจะต้องไม่เนรคุณกันด้วย เหมือนอย่างที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ประกาศลั่น มีวันนี้ได้ก็เพราะพี่ 2 ป. คงเป็นเช่นนั้นจริง ลำพังความรู้ ความสามารถทางการทหาร หากไม่มีเส้นสายตามเลียนาย เริ่มตั้งแต่พี่ใหญ่ที่ไปเกาะโต๊ะขอเก้าอี้ ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าคนตระกูล ป. จะยิ่งใหญ่ได้เหมือนปัจจุบันหรือไม่

ไม่เพียงแต่ถูกนายทหารใหญ่ตบหน้าอย่างจังเท่านั้น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ร่วมผสมโรง กระแทกหมัดเข้าปลายคางรัฐมนตรีของพรรคเก่าแก่จนร่วงคาเวที “เสียงฝ่ายรัฐบาลปริ่มน้ำอยู่แล้ว เราต้องล็อกเสียงไว้เลย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย พรรคประชาธิปัตย์มาโหวตสวนได้อย่างไร ยิ่งโหวตสวนก็ยิ่งติดลบ ทำไมไม่โนโหวต” แหม!ไม่น่าเชื่อว่าเทคโนแครตที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมสร้างผลงานกับรัฐบาลประชาธิปไตย จะมีหัวใจรักเผด็จการได้ถึงเพียงนี้

มองเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการใช้ม.44 ถึงกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ไหนบอกว่าทุกคำสั่งที่ประกาศใช้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติทั้งสิ้น ทำไมจึงกลัวการถูกตรวจสอบ มันมีอะไรซุกซ่อนไว้ใต้อุ้งตีนเผด็จการอย่างนั้นหรือ ความจริงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ในเมื่อรัฐธรรมนูญในบทเฉพาะกาลก็เขียนนิรโทษกรรมให้กับทุกการกระทำของคณะเผด็จการคสช.ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตไว้อยู่แล้ว

สิ่งที่น่าแปลกใจคงเป็นความย้อนแย้งในคำพูดของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ทั้ง ๆ ที่ประกาศอย่างมั่นใจว่าไร้ความขัดแย้งในพรรคร่วมและอยู่ยาวแน่นอน ทำไมจึงต้องออกอาการขาสั่น ประกาศกร้าวทันทีเรื่องมีความเคลื่อนไหวของประชาชนที่นัดจัดกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในต้นปีหน้า ห้ามจัดไม่ว่าจะพวกหนุนหรือพวกต้านก็ตาม ถามว่าใช้อำนาจเผด็จการสั่งจับมัดมือมัดเท้าปิดปากได้อย่างนั้นหรือ หรือจะเล่นแร่แปรธาตุกฎหมายอะไรกันอีก

นี่ไงความเป็นเทวดาของคนที่อ้างกฎหมาย ยิ่งได้ฟังคำชี้แจงของวิษณุ เครืองาม ต่อการถูกออกหมายจับจากศาลฎีกาของพันตำรวจโทไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคสืบทอดอำนาจในคดีล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยาเมื่อปี 2552 ในยุคที่เจ้าตัวยังอ้างอุดมการณ์ประชาธิปไตย ถ้าไม่ถูกตำรวจจับกุมตัวเสียก่อน ก็สามารถร่วมประชุมสภาและยกมือโหวตได้เป็นปกติ คำถามก็คือ ถ้าตำรวจเจอตัวแล้วไม่จับถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

เพราะการอ้างว่ามีเอกสิทธิ์ส.ส.คุ้มครองนั้น วิษณุก็บอกแล้วว่าไม่มีเอกสิทธิ์และไร้ความคุ้มกัน เพราะความคุ้มกันหมายความว่าผิดแต่ยังไม่ได้นำตัวไปดำเนินคดี กรณีไวพจน์ไม่มีความคุ้มกัน เพราะศาลได้ออกหมายจับเพื่อให้มาฟังคำพิพากษาแล้ว หากไวพจน์ยังไปปฏิบัติสภาเพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล ถามว่ารัฐบาลที่ผู้นำอ้างกฎหมายตลอดเวลายังจะอยู่ในตำแหน่งอย่างมีศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ ส่วนตำรวจที่เห็นคนซึ่งมีหมายจับแล้วปล่อยปละละเลยก็ยิ่งไม่ต้องไปถามถึงศักดิ์ศรีของตัวเองด้วยเช่นกัน

Back to top button