พาราสาวะถี

วันศุกร์ที่ผ่านมาสองพี่น้องตระกูลป. มีวลีเด็ดผ่านสื่อคนละประโยค โดย “พี่ใหญ่” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ฉุนที่นักข่าวถามเรื่องผู้ใหญ่ในกองทัพยอมเอาทหารเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้ในบ้านว่า “ถามแต่เรื่องบ้าบออะไรไม่รู้” ขณะที่ “น้องเล็ก” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็แถลงกับนักข่าวปมยุบสภาด้วยท่วงทำนองที่ไม่ค่อยพอใจว่า “ผมคงไม่โง่ที่จะประกาศยุบสภาผ่านสื่อ” นี่คืออารมณ์ของผู้นำที่ถนัดการสั่งซ้ายหันขวาหัน มีแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่คอยพูด “ดีครับท่าน” มาทั้งชีวิต


อรชุน

วันศุกร์ที่ผ่านมาสองพี่น้องตระกูลป. มีวลีเด็ดผ่านสื่อคนละประโยค โดย “พี่ใหญ่” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ฉุนที่นักข่าวถามเรื่องผู้ใหญ่ในกองทัพยอมเอาทหารเกณฑ์ไปเป็นทหารรับใช้ในบ้านว่า “ถามแต่เรื่องบ้าบออะไรไม่รู้” ขณะที่ “น้องเล็ก” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็แถลงกับนักข่าวปมยุบสภาด้วยท่วงทำนองที่ไม่ค่อยพอใจว่า “ผมคงไม่โง่ที่จะประกาศยุบสภาผ่านสื่อ” นี่คืออารมณ์ของผู้นำที่ถนัดการสั่งซ้ายหันขวาหัน มีแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่คอยพูด “ดีครับท่าน” มาทั้งชีวิต

แม้วันนี้จะเป็นนักการเมืองแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม ทว่าด้วยความที่ไม่เคยให้ใครมาท้าทาย ตรวจสอบ ดังนั้น ก่อนเข้าสู่กระบวนการสืบทอดอำนาจ จึงต้องวางทุกอย่างไว้เพื่อป้องกัน ขนาดเข้าสู่ระบบรัฐสภาที่มีกลไกของคณะกรรมาธิการทั้งสามัญและวิสามัญเพื่อไว้เป็นเครื่องมือในการถ่วงดุลรัฐบาล ยังถูกปฏิเสธจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและองคาพยพที่ไม่ยอมถูกจับผิดใด ๆ โดยไม่สนใจว่าที่มาของการล้มกระบวนการตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบนั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม

หลังสภาล่มไปสองรอบ ย่อมจะเกิดคำรบที่ 3 ไม่ได้ แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลจึงถูกเชิญไปร่วมรับประทานอาหารเพื่อทั้งขู่และทั้งปลอบ พร้อม ๆ กับการสร้างความมั่นใจ ในขณะเดียวกันก็ไฟเขียวกล้วยล็อตใหญ่ที่จะนำไปใช้เลี้ยงลิง นั่นหมายความว่า ในวันที่มีการมีตติ้งพรรคร่วมรัฐบาล อีกด้านก็มีการเจรจา หารือกับลิงที่พร้อมจะรับกล้วยไปในคราวเดียวกัน ยืนพื้นอย่างที่พรรคเพื่อไทยปูดข้อมูลที่ตัวเลข 8 หลัก ส่วนการปฏิเสธของพวกที่ถูกมองว่าเป็นงูเห่า ก็เป็นเรื่องธรรมดาใครจะยอมรับ

ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับความเชื่อถือของประชาชน ทั้ง 10 คนที่ถูกมองว่าเป็นงูเห่า ถามว่าคำตอบที่ประชาชนได้ยินได้ฟัง จะมีซักกี่เปอร์เซ็นต์ที่จะเชื่อตามคำอธิบายนั้น แต่ไม่ว่ากระแสสังคมจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร ภายใต้การนำที่ไม่ต้องการให้ใครตรวจสอบ เพื่อกระชับอำนาจและตบหัวพร้อมลูบหลังบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปแล้ว ท่านผู้นำดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งยวดว่า งานในสภาจะไม่เกิดการสะดุด จนกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างแน่นอน

จนถึงขนาดที่ขอร้องสื่อว่าให้หยุดพูดเรื่องในสภาได้แล้ว มันจบแค่นี้ก็จบเท่านี้ไปก่อน หากเป็นยุคมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดคงสั่งไปแล้วว่า อย่านำเสนอข่าวความขัดแย้งในสภาหรือข่าวสภาล่มอีก แต่เมื่อไม่มีอำนาจวิเศษใด ๆ จึงทำได้แค่ขอร้องแกมบังคับเท่านั้น ส่วนสื่อไหนจะเชื่อฟังเป็นเด็กดีก็ว่ากันเป็นราย ๆ ไป ซึ่งคงไม่ต้องสนใจอะไรมาก ในเมื่อมีสื่อที่อยู่ใต้อาณัติ คอยเปิดประเด็นสร้างข่าวกลบข่าวฉาวของรัฐบาลอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

ความเชื่อมั่นดังว่า คงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะลำพังการตบจูบแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น หากแต่ยังได้เสียงของพวกส.ส.เอื้ออาทรที่ออกลูกเกเรไปก่อนหน้านี้กลับคืนมาด้วย นั่นย่อมทำให้เสียงที่ปริ่มน้ำ นิ่ง ไม่แกว่งไกวกันอีกแล้ว ประกอบกับข่าวเรื่องพรรคเศรษฐกิจใหม่จะเข้ามาร่วมชายคาเรือเหล็กด้วย ยิ่งทำให้ท่านผู้นำกระหยิ่มยิ้มย่อง ถึงขนาดที่ว่า เรื่องการชวนและอีกฝ่ายจะเซย์เยสหรือไม่ ยอมรับว่าให้หัวเรือใหญ่ของพรรคแกนนำรัฐบาลเจรจากันอยู่

ดูทรงอย่างนี้คงหนีไม่พ้นว่าจะกระโดดเข้ามาร่วมงานกันแน่ แต่ปัญหาใหญ่คือจะต้องมีเก้าอี้รัฐมนตรีปูนบำเหน็จด้วยหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าพรรคการเมืองนี้มีส.ส.อยู่ถึง 6 เสียง และไม่ใช่การรวมกันของพรรคเล็กพรรคน้อย ดังนั้น การที่พรรค 3 เสียงยังได้เก้าอี้เสนาบดี เมื่อเศรษฐกิจใหม่จะเข้ามาร่วมเครื่องเซ่นสังเวยย่อมต้องไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ถ้าไม่ได้ตำแหน่งต้องมีสิ่งตอบแทนอย่างอื่นที่สมน้ำสมเนื้อ ซึ่งจะว่าไปพวกต้นทุนต่ำย่อมพร้อมเปิดรับข้อเสนอที่ยากปฏิเสธอยู่แล้ว

หรือจะมีออปชั่นพิเศษ เพื่อไม่ให้กระทบการจัดขบวนรัฐนาวา ไม่จำเป็นที่ต้องมีพรรคใดมาร่วมในรัฐบาล ขอเพียงแค่เสียง “งูเห่าชั่วคราว” มาตามนัดในยามที่ต้องการเหมือนเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมาเท่านั้นเป็นใช้ได้ แน่นอนว่า บรรยากาศทางการเมืองเช่นนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมืองและรังเกียจนักการเมืองเหมือนก่อนการรัฐประหารตามที่คณะเผด็จการคสช.โหมประโคมข่าวทุกวี่ทุกวันว่านักการเมืองชั่วนักการเมืองเลว

โดยที่ออปชั่นพิเศษนี้มีข้อแม้ว่า บรรดางูเห่าชั่วคราวทั้งหลายต้องไม่ให้พรรคต้นสังกัดจับได้ไล่ทันเสียก่อน ซึ่งหันมาดูกระบวนการของพรรคฝ่ายค้านเวลานั้น เพื่อไทยตั้งคณะกรรมการ 5 คนมาจัดการ 3 งูเห่า ด้วยการยืนยันว่าแม้รัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบจะให้เอกสิทธิส.ส.ไม่ต้องยึดโยงกับพรรค แต่กฎหมายพรรคการเมือง รวมทั้งข้อบังคับพรรคการเมืองก็มีระเบียบและวิธีการปฏิบัติหรือจะเรียกได้ว่ากฎ กติกามารยาทของลูกพรรคที่ดีไว้อยู่

แต่คงใช้ไม่ได้ผลกับบรรดานักการเมืองปากมันและหน้าทน ไม่ว่าพรรคจะมีมาตรการใดออกมา ทั้งไม่ร่วมสังฆกรรมหรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย คนเหล่านี้ก็หาได้อินังขังขอบไม่ ยิ่งคำขู่ที่ว่าจะไม่ส่งลงสมัครเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าลองกล้าที่จะทำถึงขนาดนี้คนพวกนี้ก็คงไม่ได้สนใจว่าจะได้เป็นส.ส.อีกสมัยหรือได้รับการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ เพราะกว่าจะไปถึงวันนั้น คงจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเข้ามาในสภาหินอ่อนอีกแล้ว

อีกเรี่องที่ประชาชนกำลังจับตามองอยู่เวลานี้คือ คดีที่ดินของ ปารีณา ไกรคุปต์ หลังจากที่กรมป่าไม้ประกาศยึดพื้นที่บุกรุกป่ากว่า 46 ไร่ของส.ส.ปากดีรายนี้ คล้อยหลัง 1 วันสำนักงานส.ป.ก.ก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวให้เจ้าตัวคืนที่ดินในครอบครองจำนวน 682 ไร่คืนด้วยเหมือนกัน ทว่า คนจำนวนไม่น้อยกลับสงสัยเป็นการเอาผิดตามกฎหมายหรือช่วยให้ปารีณารอดจากคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติกันแน่ เพราะโทษแห่งคดีนั้นต่างกัน

หากต้องโทษคดีบุกรุกป่าจะมีผลต่อเก้าอี้ส.ส.อย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นแค่คดีถือครองที่ดินส.ป.ก.โดยขาดคุณสมบัติผลในทางกฎหมายแทบจะไม่มีอะไร คงต้องรอดูกันต่อไปว่าปลายทางของเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร จากที่เดิมทีคาดว่าปารีณาอาจจะกลายเป็นแพะบูชายัญความโปร่งใส ตรงไปตรงมาของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ แต่ทำไปทำมากลับจะเป็นการใช้กลไกของข้อกฎหมายมาโอบอุ้มกันอย่างเนียน ๆ ไปเสียฉิบ สังคมคงต้องรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมและร่วมกันตรวจสอบพวกเนติบริกรรับใช้เผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างใกล้ชิด

Back to top button