เปิด 40 หุ้น SET ราคาเดี้ยงยาว! 11 เดือนนักลงทุนกระเป๋าฉีกเกิน40% 

เปิด 40 หุ้น SET ราคาเดี้ยงยาว! 11 เดือนนักลงทุนกระเป๋าฉีกเกิน40% 


ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วง 11 เดือนแรกปี 2562 พบว่าดัชนีอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากดัชนีหลุดแนวรับสำคัญทั้ง 1700 จุด และ 1600 จุด ในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 เนื่องจากนักลงทุนกังวลปัจจัยสงครามการค้า,การประท้วงในฮ่องกง และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในช่วง 9 เดือนออกมาไม่สดใส

ล่าสุดการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากสองประเทศสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าขั้นต้นได้ และการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งจะมีผลในเดือนธ.ค. 62 นี้ถูกยกเลิกไป โดยทรัมป์จะลดภาษีนำเข้าจากจีนวงเงิน US$1.2 แสนล้าน จาก 15% เหลือครึ่งหนึ่งหรือ 7.5% แต่จะยังเก็บภาษี 25% กับสินค้าจีนมูลค่า US$2.5 แสนล้านต่อไป ขณะที่จีนได้ประกาศยกเลิกแผนที่จะตอบโต้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่กดดันก่อนหน้าส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงเกินพื้นฐานหลายตัวโดยทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET ในช่วง 11 เดือนมานำเสนอโดยเรียงลำดับจากหุ้นปรับตัวขึ้นมากสุดไปหาน้อยสุดโดยครั้งนี้คัดเลือกมาทั้งหมด 20 อันดับที่ราคาปรับตัวแรงเกิน 40%โดยจะเลือกนำเสนอข้อมูลประกอบ 5 อันดับแรกของตารางดังนี้

โดยอันดับ 1 คือ บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE โดยราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับลง  80.56% จากยืนที่ระดับ 0.36 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 อ่อนตัวลงมามาอยู่ที่ระดับ  0.07 บาท ณ วันที่ 29 พ.ย.62 โดยแรงเทขายส่วนใหญ่คาดว่ามาจากแผนธุรกิจที่ยังไม่ชัดเจนและพื้นฐานที่ยังขาดทุนหนัก อีกทั้งประเด็นบริษัทผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยังเป็นปัจจัยกดดันธุรกิจ

ล่าสุด PACE เร่งเจรจาหนี้ 9 พันล้านบาทกับ SCB พร้อมปรับโครงสร้างทางการเงิน เพื่อแก้ไขเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ โดยปัจจุบันใช้วิธีการยืดอายุวันไถ่ถอนหุ้นกู้ และแก้ไขอัตราดอกเบี้ยให้คงที่ นอกจากนี้ PACE ยังเตรียมจำหน่ายหุ้นในบริษัทย่อย สามารถลดหนี้ได้ถึง 1.5 พันล้านบาท

 

อันดับ 2 บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM โดยราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับลง 75.91%  จากยืนที่ระดับ 2.74 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 อ่อนตัวลงมามาอยู่ที่ระดับ ณ วันที่ 29พ.ย.62 ราคาหุ้นปรับตัวลงต่อเนื่องคาดเป็นผลมาจากพื้นฐานธุรกิจขาดทุนต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2560

ด้านายวรุณ อัตถากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM เปิดเผยว่า ปัจจุบันคณะกรรมการบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง ภายหลังจากที่บริษัทมีกำหนดต้องชำระเงินให้กับผู้ถือหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอนอีกจำนวน 3 รุ่น ประกอบด้วย รอบแรกคือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2561 (TLUXE205A) จำนวน 200 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 8 พ.ค.63,รอบถัดไปคือหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2561 รุ่น TLUXE198A จำนวน 319.50 ล้านบาท ที่เลื่อนชำระออกไปเป็นวันที่ 2 ก.ค.63 และรอบสุดท้ายเป็นหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2562 (PPPM213A) จำนวน 207.60 ล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 18 มี.ค.64

สำหรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในชุดแรกจำนวน 200 ล้านบาทนั้น เบื้องต้นบริษัทศึกษาการชำระหนี้ไว้ 3 แนวทาง ได้แก่ แนวทางแรกคือการนำกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินกิจการในปัจจุบันมาชำระหนี้หุ้นกู้ ,แนวทางที่ 2 การรีไฟแนนซ์ โดยใช้วิธีการกู้เงินจากสถาบันการเงินหรือแหล่งเงินทุนอื่นที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาชำระคืนทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า

เนื่องจากช่วงนี้แนวโน้มดอกเบี้ยเป็นขาลง เชื่อว่าในกรณีถ้ากู้เงินรอบใหม่มีโอกาสได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเดิม แม้ว่าปัจจุบันจะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน แต่บริษัทยังมีสินทรัพย์ที่เป็นมูลค่าเพียงพอต่อการค้ำประกันเงินกู้ชุดใหม่ และแนวทางที่ 3 คือตัดขายสินทรัพย์หรือธุรกิจที่ไม่มีความจำเป็นออกไป

นายวรุณ กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางผลประกอบการในปี 62 ยังมีโอกาสขาดทุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและเงินลงทุนยังเป็นสัดส่วนสูงกว่ารายได้ แม้ว่าธุรกิจอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักยังเติบโตได้ดี โดยปีนี้คาดมีรายได้เฉลี่ยราว 2 พันล้านบาท หรือเติบโต 3-5% ต่อปี และมีศักยภาพทำกำไรสูงขึ้น เพราะได้รับอานิสงส์จากเงินบาทแข็งค่าและนำเข้าวัตถุดิบหลักอย่างถั่วเหลืองที่มีราคาถูกลงจากผลของสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทยังมีค่าใช้จ่ายจากการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน Geothermal ในประเทศญี่ปุ่น เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มบันทึกรายได้เข้ามาในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ปัจจุบันมีจำนวน 12 โครงการ ในกรณีทุกโครงการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้เรียบร้อย จะรับรู้เป็นรายได้รวมกว่า 140 ล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ยโครงการละ 12 ล้านบาทต่อปี เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญช่วยผลักดันผลประกอบการของบริษัทพลิกกลับมาดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 

อันดับ 3  บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ  BEAUTY  โดยราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนปรับลง 70.69% จากยืนที่ระดับ  6.55 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 อ่อนตัวลงมามาอยู่ที่ระดับ 1.92 บาท ณ วันที่ 29 พ.ย.62โดยราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากผลประกอบการปรับตัวลดลง เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศหดตัว นักท่องเที่ยวจีนกลุ่ม ผู้ซื้อสินค้ารายย่อยไปจำหน่าย (Wholesale ) ลดลงเป็นจำนวนมากอีกทั้งการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดเครื่องสำอาง

ด้านตลาดต่างประเทศได้รับผลกระทบจากกฎหมายควบคุมการนำเข้าสินค้าจีน การอ่อนค่าเงินหยวนและค่าเงินบาทแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง  ทำให้การส่งออกสินค้าทุกประเภทไปประเทศจีนน้อยลง

สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้  คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคให้กลับมาคึกคักในช่วงปลายปี 62 ซึ่งบริษัทจะเดินหน้าทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย  ออกโปรโมชั่นต่างๆจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายกับลูกค้าสมาชิก

นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ตลาดในประเทศจะมีการปรับคอนเซ็ปต์และรูปแบบของช่องทางจำหน่ายหลัก รวมทั้งพัฒนาโมเดลใหม่ ๆ ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น  ส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย Commerce Business เช่น E-Commerce, ช่องทางสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) จะช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตและรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากช่องทางดังกล่าวมีต้นทุนดำเนินการต่ำ และเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป

สำหรับตลาดต่างประเทศ ขยายไปในตลาดที่หลากหลายมากกว่า 10 ประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เมียนมาร์ เวียดนาม ลาว ไต้หวัน ฮ่องกง บรูไน ญี่ปุ่น อินเดีย เป็นต้น โดยจะมุ่งเน้นขยายตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต อาทิ จีน เมียนมา อินโดนีเซีย เวียดนาม

 

อันดับ 4  บริษัท พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ PE  โดยราคาหุ้นในช่วง 10 เดือนปรับลง 70.00%  จากยืนที่ระดับ 0.20 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 อ่อนตัวลงมามาอยู่ที่ระดับ 0.06 บาท ณ วันที่29 พ.ย.62 โดยราคาหุ้นอ่อนตัวลงแรงเนื่องจากยังไม่มีแผนธุรกิจออกมาโดดเด่นอย่างไรก็ตามในด้านของพื้นฐานบริษัทกลับมามีกำไรในปี 2561 ขณะที่งวด 9 เดือนปี 2562  มีกำไรสุทธิ 16.51 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 32.88 ล้านบาท

โดยบริษัทดำเนินธุรกิจด้านการลงทุนในธุรกิจบริการทางการเงินได้แก่ ธุรกิจการบริการรถเช่าเพื่อการดำเนินงาน (Operating Lease) ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ธุรกิจการให้บริการสินเชื่อเพื่อ ธุรกิจต่างๆ และธุรกิจการให้บริการจัดการสินเชื่อ ตรงนี้คาดว่าจะทำให้ราคาหุ้นกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง

 

อันดับ 5 บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC โดยราคาหุ้นในช่วง 10 เดือนปรับลง 67.50% จากยืนที่ระดับ 0.40 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 อ่อนตัวลงมามาอยู่ที่ระดับ 0.13 บาท ณ วันที่ 29 พ.ย.62  โดยราคาหุ้นอ่อนตัวลงส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานธุรกิจขาดทุนหนักในปี 61 และผลงานครึ่งแรกปี 2562 ยังมีผลขาดทุนต่อทำให้นักลงทุนกังวลและทิ้งหุ้น อย่างไรก็ตามเชื่อว่าด้วยแผนธุรกิจที่ยังมีต่อเนื่องจะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นฟื้นตัวได้อีกครั้ง

ด้านนายภาสิต ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานครึ่งหลังปีนี้บริษัทและบริษัทย่อย ยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง หลังจากในช่วงไตรมาส 3/62 ได้รับงานใหม่แล้ว 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,444.46 ล้านบาท

ขณะที่ยังมีงานที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างที่ยังไม่รับรู้รายได้อีกหลายโครงการ โดยเป็นงานของบริษัท จำนวน 8 โครงการ มูลค่างานที่เหลือ 2,866.23 ล้านบาท และงานของบริษัท สหการวิศวกร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จำนวน 11 โครงการ มูลค่างานที่เหลือ 5,992.38 ล้านบาท รวมเป็น 19 โครงการ มูลค่างานที่เหลือรวม 8,858.61 ล้านบาท

สำหรับงานที่ได้รับในช่วงไตรมาส  3/62 ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างสายพัฒนาคูน้ำริมถนนวิภาวดีรังสิต ตอน 1 มูลค่าโครงการ 633.01 ล้านบาท , โครงการก่อสร้างสายพัฒนาคูน้ำริมถนนวิภาวดีรังสิต ตอน 3 มูลค่าโครงการ 293.69 ล้านบาท จากกรมทางหลวง และโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน โครงการพระราม 4 จากการไฟฟ้านครหลวง มูลค่างาน 517.76 ล้านบาท

ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button