หุ้นตัวท็อปปี 2020!

มุมมองตลาดสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะ “ตลาดหุ้น” ช่วงปี 2563 มีแนวโน้มที่จะสดใสขึ้น หลังปัจจัยหลักที่ถ่วงการลงทุนมาโดยตลอดเริ่มคลี่คลาย


เส้นทางนักลงทุน

มุมมองตลาดสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะ “ตลาดหุ้น” ช่วงปี 2563 มีแนวโน้มที่จะสดใสขึ้น หลัง 2 ปัจจัยหลักที่ถ่วงการลงทุนมาโดยตลอดเริ่มคลี่คลาย ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังทั้งสองประเทศเดินหน้าใช้ภาษีนำเข้าตอบโต้กันจนสุดทาง จะเริ่มเห็นสัญญาณที่จะยกเลิกภาษีบางส่วนระหว่างกัน และใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้ากันได้สำเร็จ

ประกอบกับประเด็น Brexit ที่ใกล้จะชัดเจนขึ้น จากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่จะชวยเพื่อแก้ไขปัญหาทางตัน ทำให้แรงกดดันดังกล่าวทั้งหมดผ่อนคลาย ผสานเศรษฐกิจโลกผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เห็นได้ชัดจากดัชนีชี้นำต่าง ๆ ทั้ง PMI ภาคผลิตและภาคบริการ อัตราการส่งออก และ GDP ของประเทศผู้นำ ทั้งสหรัฐฯ และยูโรโซน

รวมไปถึงสัญญาณบวกจากทางฝั่งเอเชียจากการฟื้นตัวของผลประกอบการไตรมาส 3/2562 และแนวโน้มการฟื้นตัวของวงจรกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่ม Memory ลดความกังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย และมีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในปี 2563-2564

นอกจากนี้ในปี 2563 ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจะยังได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินโลกที่มีแนวโน้มทรงตัวไปจนถึงผ่อนคลาย ขณะที่นโยบายการคลังที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น ทำให้มีการคาดว่า GDP โลกปี 2563 จะขยายตัว 3.1% ก่อนเร่งสู่ 3.3% ในปี 2564

ดังนั้นความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกในปี 2562 มีแนวโน้มผ่อนคลาย เมื่ออย่างสู่ปี 2563

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ทิศทางการลงทุนจะดีขึ้นเป็นลำดับ  โดยคาดการส่งออกจะฟื้นตัวขึ้นหลังสงครามการค้าผ่อนคลาย และการท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่องจาก Global Wealth effect ผสานกับการบริโภคภายในที่ยังขยายตัวดีกว่า GDP รวมมา 5 ไตรมาสติด น่าจะหนุนเศรษฐกิจไทยดีขึ้นในปี 2563

มีการคาดว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี น่าจะผ่านรัฐสภาราวเดือน ม.ค. 2563 จะเป็นปัจจัยหนุนทำให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ดีกว่าครึ่งแรกปี 2563  โดยประเมิน GDP ครึ่งแรกของปี 2563 จะโตเพียง 2.3%  (กนง.จะลดดอกเบี้ยอีก 25bps ในไตรมาส 1/2563 สู่ 1% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ) ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นในครึ่งหลังของปี 2563 ที่ 3.1% จากมาตรการภาครัฐที่จะเร่งตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ GDP ปี 2563 จะขยายตัวได้ 2.7%  ส่งผลให้ EPS ตลาดอยู่ที่ 103.5 บาท/หุ้น หรือเติบโตราว 10.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ผลดังกล่าวทาง บล.โนมูระ พัฒนสิน วางกลยุทธ์ดัชนีเป้าหมายปี 2563 อิง PER  16.75 เท่า ที่ระดับ 1,734 จุด

กลยุทธ์การลงทุนปี 2563 แนะนำ Overweight กลุ่มอิงวงจรเศรษฐกิจ (Cyclical) เนื่องจากได้ประโยชน์จากสัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และ CRB Index ดัชนีชี้นำราคาโภคภัณฑ์มีสัญญาณ Bottom out คล้ายปี 2562  ได้แก่ พลังงาน, ปิโตรเคมี ส่งออกชิ้นส่วนฯ (วงจรเทคโนโลยีพ้นจุดต่ำสุด+5G),

กลุ่มส่งออกอาหารและเกษตร จากแรงหนุนของความต้องการโลกที่ฟื้นตัวตามประชากรของ EM เพิ่ม และสภาพอากาศผันผวน/ภาวะโรคระบาดกดดัน Supply, กลุ่มสื่อสารได้ประโยชน์จาก 5G, กลุ่มท่องเที่ยว-กลุ่มโรงพยาบาลฟื้นตัวรับ Global Wealth Effect และฐานต่ำ, กลุ่มธนาคาร Value Play และเศรษฐกิจไทยพ้นจุดต่ำสุด

ดังนั้นหุ้นรายตัวที่แนะนำลงทุนในปี 2563 ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBLบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ  SCC, บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ  TVO และ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

ส่วนทางด้าน บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ประเมินเป้าหมายดัชนีในปี 2563 ที่ 1,700 จุด อ้างอิงจากค่า P/E 15 เท่า อีกทั้งยังคงแนะนำ Overweight กลุ่มธนาคารเนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในปี 2563 และกลุ่มธนาคารมีการประเมินมูลค่าถูก นอกจากนี้ก็ยังชอบกลุ่มการแพทย์และกลุ่มอุปโภคบริโภค

ส่วนหุ้น Top pick ของตลาดหุ้นในปี 2563 ได้แก่  บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ  AOT ราคาเป้าหมาย 89 บาท, บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ราคาเป้าหมาย 8.40 บาท, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ราคาเป้าหมาย 21 บาท, บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG  ราคาเป้าหมาย 3 บาท, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ราคาเป้าหมาย 35 บาท

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ราคาเป้าหมาย 95 บาท, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ราคาเป้าหมาย 113 บาท, บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ราคาเป้าหมาย 78.20 บาท, บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY ราคาเป้าหมาย 35.70 บาท, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ราคาเป้าหมาย 145 บาท และ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ราคาเป้าหมาย 10.80 บาท

กลยุทธ์การลงทุน ! หุ้นข้างต้นยกเป็นตัวท็อปในปี 2563  ด้วยเป็นหุ้นพื้นฐานดี  ดังนั้นหากดัชนีสามารถยืนเหนือ 1,580 จุดได้ถือเป็นสัญญาณที่ดีพร้อมเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นดังกล่าว !!!

Back to top button