พี่หรั่งย่องซื้อ

หากจากต้นปี 2563 หรือในช่วง 5 วันทำการที่ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายในปีนี้


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

หากจากต้นปี 2563 หรือในช่วง 5 วันทำการที่ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายในปีนี้

นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิแล้วกว่า 4,138 ล้านบาท

แม้ว่าวันที่ 2 ม.ค.จะขายออกมาเล็กน้อย 24.11 ล้านบาท

ทว่า 4 วันถัดมากลับซื้อสุทธิต่อเนื่อง

4 วันที่ว่านี้รวมถึงวันจันทร์ที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมาด้วย ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลงไป 0.85 จุด

ส่วนเมื่อวานนี้ แม้ดัชนีจะปรับลง 25.96 จุด

แต่ต่างชาติก็ยังคงซื้อสุทธิอีกกว่า 2,246 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้ “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กล่าวไว้แล้วว่า นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับมาซื้อแล้วล่ะ

และเมื่อวานนี้ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อล่าสุด ก็กล่าวในทำนองนี้เช่นกัน

อย่างที่เคยเขียนบอกไป

ณ สิ้นปี 2562 สัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยคงเหลือ 29.5%

ตัวเลขนี้ถือว่าต่ำสุดในรอบกว่า 15 ปี

แต่ล่าสุดข้อมูลที่ผู้จัดการ ตลท. บอกมานั้น

ตัวเลขเริ่มกลับมาอยู่ที่ 30% แล้ว

และเป็นไปได้ว่า จะเห็นการกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง (อาจมีบางวันสลับขายบ้าง)

“เงินทุนต่างชาติมีโอกาสที่จะไหลกลับเข้ามายังตลาดหุ้นไทย โดยในช่วงต้นปีนี้สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 30% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 10 ปี จากในช่วงปลายปีก่อนอยู่ที่ 28-29%

เป็นข้อมูลที่ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ บอกมาล่าสุด

ภากร ยังแนะนำว่า “ควรเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส”

แต่ก็ควรมองหาหุ้น เหมาะสมกับสภาวะ หรือรับมือสถานการณ์ได้

หุ้นประเภทนี้ในตลาดมีเยอะแยะ

แต่ในฐานะผู้บริหารของหน่วยงานกำกับดูแลนั้น

แน่นอนว่า ย่อมไม่สามารถบอกถึงตัวหุ้นที่ว่านั้นได้ คงพูดได้แต่ภาพรวม ๆ เท่านั้น

ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจจาก “รื่นวดี สุวรรณมงคล” เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ด้วย

เลขา ก.ล.ต. บอกว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นเป็นไปในแนวทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก

ปัจจัยมาจากความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน

ก.ล.ต. จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจลงทุน

พร้อมกับบอกเรื่องพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มของอัตราการเติบโตดีขึ้นจากปีก่อน

อย่างข้อตกลงการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปี 63

และน่าจะทำให้การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น

การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี

การท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัว

ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนมีแนวโน้มขยายตัวด้วยเช่นกัน

อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ หรือ 0.68%

หนี้สาธารณะยังคงอยู่ในระดับต่ำ 40.9% และดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล 6.8% ต่อ GDP

สำหรับตลาดการเงิน ยังมีเงินลงทุนไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้จำนวนกว่า 7.61 พันล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 63

สรุปแล้ว นับจากต้นปีนี้

นักลงทุนต่างชาติ หรือพี่หรั่งซื้อสุทธิทั้งในตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น

และคงมีเพียง “พี่กอง” หรือนักลงทุนสถาบัน

ที่ป่านนี้ยังคงแพนิก ขี้หดตดหาย

แห่ขายทำกำไร ถือเงินสดเอาไว้ก่อนนั่นแหละ

Back to top button