พาราสาวะถี

ผ่านพ้นไปเรียบร้อยกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 หลังจากใช้เวลาอภิปรายกันยาวนาน 3 คืน 4 วัน ก่อนที่จะลงมติด้วยเสียงหนุน 253 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 196 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ท่ามกลางความโล่งอกดีใจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เดินทางไปขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยตัวเอง พร้อมให้สัมภาษณ์อย่างยิ้มแย้มแจ่มใสหลังทราบผล และขอบคุณทุกฝ่ายไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่ายค้าน


อรชุน

ผ่านพ้นไปเรียบร้อยกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 หลังจากใช้เวลาอภิปรายกันยาวนาน 3 คืน 4 วัน ก่อนที่จะลงมติด้วยเสียงหนุน 253 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 196 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ท่ามกลางความโล่งอกดีใจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เดินทางไปขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยตัวเอง พร้อมให้สัมภาษณ์อย่างยิ้มแย้มแจ่มใสหลังทราบผล และขอบคุณทุกฝ่ายไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่ายค้าน

อย่างที่บอกกรณีร่างพ.ร.บ.งบประมาณนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีฝ่ายค้านยุคไหนสมัยใดนำมาใช้ในการล้มรัฐบาล และอาจเรียกได้ว่าเป็นผลประโยชน์ร่วม โดยหากมองอย่างเป็นธรรม คือไม่ใช่ผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อส่วนตัว แต่หมายถึงเม็ดเงินที่จะได้ถูกไปใช้พัฒนาพื้นที่ฐานเสียงของแต่ละคน เมื่อพ้นจากมือของสภาผู้แทนราษฎรไปได้แล้ว ทุกอย่างก็ราบรื่น ไร้ปัญหา เพราะในชั้นการพิจารณาของส.ว.นั้น เชื่อขนมกินได้เลยว่า จะมีเสียงชื่นชมมากกว่าทักท้วง หรืออาจจะไม่มีเสียงคัดค้านใดๆ เลยก็ว่าได้

ตามขั้นตอนหลังจากที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ ไปแล้ว คาดว่าน่าจะสามารถเบิกจ่ายใช้ได้ไม่เกินเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ จากนั้นอีกไม่กี่เดือนร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ก็จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาอีกไม่น่าจะเกินเดือนพฤษภาคม เหล่านี้ถือเป็นกระบวนการปกติ ดังนั้น ช่วงเวลานับจากนี้จึงอยู่ที่การบริหารจัดการ แสดงความสามารถของรัฐบาลสืบทอดอำนาจแล้วว่า จะใช้ประโยชน์จากงบประมาณสร้างผลงานได้อย่างไร

สำหรับประเด็นที่สื่อเกาะติดกันตามมาจากการลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณคือ เสียงที่สวนมติของแต่ละพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมี 8 ส.ส.ที่ยกมือสนับสนุนนั้น ในส่วนของพรรคเศรษฐกิจใหม่คงไม่มีปัญหาอะไร ทว่าในซีกของพรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทย 2 ส.ส.หน้าเก่าคือ พรพิมล ธรรมสาร จากปทุมธานี และ พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม.นั้น อาจจะต้องดำเนินการกันอย่างจริงจังและเด็ดขาด เพราะนี่ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ปกติสำหรับคนที่อยู่กับพรรคมานาน

ในวันนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีส.ส.โหวตสวนมติพรรคเพื่อไทย 5 คนที่มี สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคนั่งหัวโต๊ะนั้น จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าว แต่ตามสไตล์ของพรรคนายใหญ่ คงไม่เด็ดขาด ชัดเจนเหมือนอย่างพรรคอนาคตใหม่ ทางที่เป็นไปได้มากสุดคือยื้อเวลาต่อไปโดยอ้างเหตุผลสารพัดแล้วค่อยว่ากันอีกที ในสถานการณ์ที่พรรคกำลังเตรียมพร้อมเรื่องซักฟอกนั้น ไม่อยากให้มีเรื่องเสียหน้าของพรรคมาทำลายความน่าเชื่อถือกับงานใหญ่ที่รออยู่

ผ่านพ้นไปแล้วเช่นกันกับสองกิจกรรมวิ่งไล่และเดินเชียร์ลุง โดยกิจกรรมหลังนั้นเด่นชัดยิ่งว่ามีรากที่มาอย่างไร เพราะแกนนำจัดงานก็บอกแล้วว่าจะกลับมาทุกครั้งที่อีกกลุ่มจัดกิจกรรมไล่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ สิ่งที่จะอธิบายกลไกของกลุ่มเชียร์ลุงได้เป็นอย่างดี คงเป็นคอมเมนต์ของ ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล ที่ว่า ป้ายที่ใช้ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ แต่เป็นการจ้างพิมพ์จากที่เดียวกัน นับว่าบริหารจัดการได้เป็นระบบเหมือนราชการเลย ไม่ต้องสืบอีกว่ามาด้วยใจไร้การจัดตั้งหรือมีเบื้องลึกเบื้องหลังหรือไม่

ความจริงมันก็พิสูจน์ได้ชัดแล้วตั้งแต่ ความสะดวกสบายและการไม่มีหน่วยงานด้านความมั่นคงใด ๆ มาก่อกวน กดดันสำหรับพวกเชียร์ลุง ผิดกับกลุ่มวิ่งไล่โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ถูกเล่นงานสารพัดจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ จนอดคิดไม่ได้ว่านี่หรือคือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นี่หรือคือประเทศไทยที่อ้างว่ามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแล้ว คงต้องช่วยกันไปสะกิดพวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่เห็นผู้นำหน้าเดิมนั้น ไม่ได้เป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้วแต่เป็นผู้นำครึ่งบกครึ่งน้ำ

นั่นก็คือมาจากการโหวตของส.ส.ครึ่งหนึ่งกับส.ว.ลากตั้งทั้งหมด 250 เสียง แต่ไม่ว่าจะกดดันอย่างไร สุดท้ายกิจกรรมก็ผ่านพ้นไปไดด้วยดีโดยเฉพาะจุดใหญ่วิ่งไล่ลุงที่สวนรถไฟ มีคนมาร่วมงานกว่า 13,000 คนถือว่าประสบความสำเร็จงดงาม พร้อม ๆ กับการประกาศจัดงานครั้งต่อไปทันทีคือวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะเดินไปถึงวันนั้นเชื่อได้เลยว่าจะเกิดขบวนการดิสเครดิต ทำลายความน่าเชื่อถือของกลุ่มจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง

เป็นเรื่องปกติธรรมดาของเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่ต้องอาศัยวิธีที่ตัวเองถนัด แต่อย่าได้ลืมเป็นอันขาดนี่มันยุคสังคมออนไลน์แล้ว ปิดความชั่วกดทับความเลวที่มีใครทำไว้มันไม่มีทางทำได้ ในเมื่อเชื่อมั่นต่อสิ่งที่ได้ทำ ยิ่งตัวท่านผู้นำอ้างว่าเป็นคนดี มีความดีเป็นเกราะป้องกัน แค่การวิ่งธรรมดา ไม่เห็นจะต้องไปสกัดกั้นอะไร อย่าปล่อยให้ความเป็นเผด็จการที่เคยตัวมาบดบังภาพผู้นำจากการเลือกตั้งที่พยายามจะสร้างขึ้น โดยใช้แนวร่วมก่อม็อบชัตดาวน์ประเทศมาเป็นฐานสนับสนุน

ประเมินจากท่าทีและบทสัมภาษณ์ของแกนนำจัดกิจกรรมเชียร์ลุง คงต้องฝากไปถึงท่านผู้นำและบรรดากระบอกเสียงที่พยายามจะทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม และอ้างแต่เรื่องความสามัคคี บ้านเมืองสงบ ประเทศชาติเดินหน้า เพราะความเป็นจริงพวกที่ไม่ยอมให้บ้านเมืองเดินหน้าหรือเปิดหูเปิดตารับความเป็นประชาธิปไตยที่หมายถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชนก็เป็นพวกที่หลับหูหลับตาเชียร์เผด็จการสืบทอดอำนาจนั่นแหละ

การอ้างรัฐธรรมนูญและข้อกฎหมายที่ยกร่างโดยองคาพยพเผด็จการ แล้วบอกว่าเป็นประชาธิปไตยโดยพยายามยัดเยียดให้ฝ่ายที่เห็นต่างว่าต้องยอมรับ มิหนำซ้ำ ยังกล้าบอกว่าผู้นำเผด็จการเป็นฝ่ายที่ชนะการเลือกตั้งมานั้น มันช่างเป็นอะไรที่ถ้าไม่อย่างหนาจะไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้ ด้วยท่วงทำนองเช่นนี้นี่ไงที่ประเทศจึงไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งไปได้ เมื่ออีกฝ่ายทำตัวเป็นพวกอภิสิทธิ์ชน ดีกว่า เก่งกว่า เหนือกว่าฝ่ายเห็นต่างทุกอย่าง

ด้วยทัศนคติเช่นนี้นี่ไง ที่เมื่อฉายภาพย้อนกลับไป ข้ออ้างอันสำคัญของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและลิ่วล้อผู้สอพลอทั้งหลายที่ว่าจะลดความเหลื่อมล้ำที่มีในสังคมไทยให้ได้ จึงเป็นเพียงวาทกรรมลวงโลก เพราะยิ่งนานวันความเหลื่อมล้ำดังว่านั้น ยิ่งถ่างกว้างมากขึ้น และก็เป็นการยืนยันสิ่งที่คนพูดกันคือรวยกระจุกจนกระจายได้เป็นอย่างดี

Back to top button