สองคนยลตามช่อง

*ปิดท้ายสัปดาห์นี้ “โมนิก้า” ขอทำตัวเป็นคนเจ้าสำบัดสำนวนสักนิดหนึ่ง เพราะต้องการชี้ให้ทุกคนเห็นว่า ใครชอบหุ้นแบบไหน..ก็เล่นหุ้นแบบนั้น แต่ต้องมีความยืดหยุ่นในการโยกย้ายสลับตัวเล่น เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลังผู้คนมากมายกำลังหลงดีใจกับการลงนามเพื่อยุติสงครามการค้าเฟส 1 แถมยังมีอีกหลากหลายประเด็นที่นักลงทุนต้องเก็บไปคิดเป็นการบ้านก่อนเคาะขวาแบบสุดซอยแบบนี้..บรรดาญาติโยมน่าจะใจเย็น ๆ ก่อนดีไหมจ๊ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ปิดท้ายสัปดาห์นี้ “โมนิก้า” ขอทำตัวเป็นคนเจ้าสำบัดสำนวนสักนิดหนึ่ง เพราะต้องการชี้ให้ทุกคนเห็นว่า ใครชอบหุ้นแบบไหน..ก็เล่นหุ้นแบบนั้น แต่ต้องมีความยืดหยุ่นในการโยกย้ายสลับตัวเล่น เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หลังผู้คนมากมายกำลังหลงดีใจกับการลงนามเพื่อยุติสงครามการค้าเฟส 1 แถมยังมีอีกหลากหลายประเด็นที่นักลงทุนต้องเก็บไปคิดเป็นการบ้านก่อนเคาะขวาแบบสุดซอยแบบนี้..บรรดาญาติโยมน่าจะใจเย็น ๆ ก่อนดีไหมจ๊ะ

*เนื่องจากมุมของการเล่นเที่ยวนี้เริ่มมีหุ้นเล็กเข้ามาเป็นตัวชูโรงมากขึ้นเรื่อย ๆ “โมนิก้า” ถึงพยายามให้แฟนคลับเลือกในสิ่งที่ชอบเป็นลำดับแรก เพราะเวทีการเล่นหุ้นเที่ยวนี้เริ่มเปิดกว้างอีกครั้ง จนทำให้นักเล่นก๊วนต่าง ๆ กระโจนเข้าไปไล่ราคาหุ้นที่หลากหลายกว่าเดิม เมื่อบวกกับความคาดหวังในการกระจายเม็ดเงินลงสู่ธุรกิจทุกภาคส่วน ย่อมทำให้นักเล่นมีความฮึกเหิมขึ้นมาเป็นกองนะจะบอกให้

*ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องออกมาชี้แจงสังคมให้รับรู้ว่า ใครจะมองมุมบวกก็ได้ หรือใครจะมองมุมลบก็ได้ทั้งนั้น แต่หลักใหญ่ใจความสำคัญยังอยู่ที่เรื่อง “กำไร” ต้องมาอันดับหนึ่ง เดี๊ยนถึงให้นักเล่นดูดัชนีประกอบการเคาะขวามากกว่าใช้เป็นธงนำ เพราะการยืนปิดที่ 1,595.87 จุด บวกไป 14.82 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.21 หมื่นล้านบาท ก็เป็นการแกว่งตัวขึ้น ๆ ลง ๆ ที่เคยเห็นกันมาแล้วหลายรอบนะจ๊ะ

*พลิกนรกสุด ๆ “โมนิก้า” คงมองไปยังหุ้นร้านสะดวกซื้อ CPALL เพื่อชี้ให้เห็นอาการ “ออด ๆ แอด ๆ” หายเป็นปลิดทิ้ง หลังจากมีแรงซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก จนหุ้นพุ่งขึ้นมาปิดที่ 74.25 บาท บวกไป 2.50 บาท หรือขึ้นไป 3.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.04 พันล้านบาท เดี๊ยนมองเป็นช็อตที่เหนือความคาดหมายมาก ๆ จนต้องเคาะขวาตามไปดูห่าง ๆ เพราะหุ้นเพิ่งผงกหัวขึ้นวันแรกไงล่ะจ๊ะ

*ส่วนรายที่คิดว่าดี ดันกลับกลายเป็นร้าย “โมนิก้า” คงเทน้ำหนักไปที่หุ้นบัตรเครดิต KTC หลังตัวเลข NPL ไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บรรดากองทุนเลยถือโอกาสสาดหุ้นออกมาอีกล็อต จนหุ้นลงมานอนกองอยู่ที่ 34.75 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 4.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 632 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 9 เดือนครึ่ง มันเป็นโมเมนตัมที่ไม่ดีเอาเสียเลยพะยะค่ะ

*ตรงกันข้ามกับในรายของหุ้น ACE อย่างสิ้นเชิง เพราะหลังจากผ่านกระบวนการทดสอบแรงขายเป็นเวลาร่วม 2 เดือน ราคาหุ้นก็เริ่มกระเตื้องขึ้นอย่างช้า ๆ จนวานนี้พุ่งพรวดขึ้นมาปิดที่ 4.58 บาท บวกไป 0.24 บาท หรือขึ้นไป 5.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 172 ล้านบาท เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ราคาหุ้นคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ ๆ แถมเมื่อมองไปยังเรื่องโรงไฟฟ้าชุมชนที่รออยู่เบื้องหน้า มันทำให้หุ้นตัวนี้มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นเป็นกองเลยทีเดียวนะคะ

*อีกรายที่น่าสนใจสุด ๆ “โมนิก้า” คงมองไปยังหุ้น RBF เพื่อชี้ให้เห็นแรงซื้อยังเหนียวแน่นสุด ๆ จึงยืนประคองตัวเหนือแนวรับ 4.20 บาทได้อย่างยอดเยี่ยม ผนวกกับเที่ยวนี้มีแรงซื้อล็อตใหม่อัดเข้ามาไม่ขาดสาย จนหุ้นพุ่งขึ้นมาปิดที่ 4.44 บาท บวกไป 0.22 บาท หรือขึ้นไป 5.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 119 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่าหากวิ่งผ่านแนวต้าน 4.40 บาทขึ้นไป และยืนได้แบบชิว ๆ ก็มีโอกาสขึ้นไปทดสอบยอดเดิมบริเวณ 4.90 บาทเจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ JMART ทะยานขึ้นมาปิดที่ 9.10 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 8.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 81 ล้านบาท ย่อมสะท้อนถึงความมั่นใจที่นักเล่นมีต่อตัวธุรกิจน่าจะแจ่มสุด ๆ ผสานกับพรายกระซิบแอบได้ยินแมงลือเม้าท์กันให้แซดว่า ไตรมาส 1 จะมีข่าวดีให้นักเล่นได้ชื่นใจ “โมนิก้า” ถึงมองการวิ่งขึ้นของหุ้นเที่ยวนี้จะออกมาในโทน sideway up จึงต้องจับตาดูหุ้นตัวนี้มากเป็นพิเศษนะคะ

*สำหรับรายที่ร้ายไม่เบา และยังเคาะขวาสุดซอย 2 วันติด “โมนิก้า” คงต้องเหลือบมองหุ้น “ชื่อใหญ่โต ราคาเล็ก” อย่าง BIG เป็นลำดับแรกในทันที เพราะการวิ่งขึ้นมาปิดที่ 0.77 บาท บวกไป 0.11 บาท หรือขึ้นไป 16.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 208 ล้านบาท มันหมายถึงมุมมองของพวกขาลุยในปี 2563 ต้องมีดีมาโชว์อีกแน่ ๆ จึงเป็นจังหวะของการโหนกระแสแบบไม่ต้องคิดอะไรให้มากความพะยะค่ะ

*คล้ายกับกรณีของ AIE มีหลายกระแสเม้าท์ตรงกันแบบไม่ได้นัดหมายว่า ภาพของการทำกำไรจะชัดเจนขึ้นในไตรมาส 1 บรรดานกรู้เลยกระโจนเข้าใส่กันหนุบหนับ จนราคาหุ้นพุ่งขึ้นมาปิดที่ 0.37 บาท บวกไป 0.07 บาท หรือขึ้นไป 23.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 30 ล้านบาทแบบนี้ “โมนิก้า” ถือเป็นช็อตที่ต้องตามไปดูอีกเช่นกัน หลังธุรกิจ “น้ำมันปาล์ม” และ “กลีเซอรีน” สามารถเบ่งกำไรให้เห็นมากขึ้นแล้วน่ะซี

Back to top button