“พาณิชย์” คาดส่งออกไทยปี 63 ขยายตัว 1.2% รับบาทอ่อนค่า-ศก.โลกเริ่มฟื้น

“กระทรวงพาณิชย์” คาดส่งออกไทยปี 63 ขยายตัว 1.2% หลังสถานการณ์โลกส่งสัญญาณเชิงบวก เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้น-เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า


นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าการส่งออกไทยปี 63 จะกลับมาขยายตัว เนื่องจากการส่งออกล่าสุดเดือน ธ.ค. 62 หดตัว 1.3% แต่หากหักน้ำมันและทองคำจะขยายตัวที่ 1.2% ซึ่งถือเป็นสัญญาณดีว่าการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวและมีทิศทางที่ดีขึ้น

โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้การส่งออกมีสัญญาณที่ดีขึ้น คือ

  1. เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.3% ในปี 63 จาก 2.9% ในปี 62 และเห็นสัญญาณว่าการค้าโลกกำลังผ่านจุดต่ำสุดจากกิจกรรมการผลิตในหลายสาขา
  2. ท่าทีความพร้อมในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของหลายประเทศเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ อาทิ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น
  3. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
  4. สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มผ่อนคลายจากการลงนามข้อตกลงทางการค้าระยะแรก (Phase-1 Deal)
  5. สถานการณ์ Brexit มีความชัดเจนแล้ว และมีช่วงเปลี่ยนผ่านจนถึงสิ้นปี 2563 ซึ่งจะยังไม่ส่งกระทบต่อผู้ประกอบการไทย

และ 6. ค่าเงินบาทเริ่มมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยเดือน ม.ค. 2563 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 30.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. กลับมาอ่อนค่าในรอบ 9 เดือน

สำหรับประเด็นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีนนั้น สนค. คาดว่า ยังไม่น่ากระทบต่อการส่งออกไทยในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารที่มีมูลค่าสูงในตลาดจีน เพราะมีอุปสงค์ซื้อสินค้าอาหารไทยที่มีความปลอดภัยและคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ไม่ให้มีการชะงักของการค้าในภูมิภาค

ส่วนประเด็นสินค้าส่งออก 573 รายการ ถูกระงับสิทธิ GSP โดยสหรัฐฯ นั้น นางสาวพิมพ์ชนก ยืนยันว่า กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่และเตรียมมาตรการรองรับในทุกกรณีอย่างรัดกุมเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ส่งออกน้อยที่สุด

โดยกรมการค้าต่างประเทศมีแผนรองรับสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ และในด้านการรักษาตลาด กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีแผนจัดกิจกรรมนำคณะภาครัฐและเอกชนบุกตลาดเป้าหมายกว่า 18 ประเทศ ในปี 63 ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การตลาดสำคัญตามแนวนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เพื่อรักษาฐานเดิมและขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพอย่างครอบคลุม และกระจายความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของประเทศใดประเทศหนึ่งแผนกิจกรรมสำคัญ อาทิ เอเชีย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย บังคลาเทศ และ CLMV ยุโรป ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และรัสเซีย แอฟริกา แอฟริกาใต้ ตะวันออกกลาง บาห์เรน และออสเตรเลีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์

ในมุมมองรายตลาด นางสาวพิมพ์ชนก ชี้แจงว่าตลาดส่งออกสำคัญต่างๆ มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลังของปี 62 อีกทั้งการส่งออกเดือน ธ.ค.62 ขยายตัวในหลายตลาด การส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และจีน ขยายตัว 15.6% และ 7.3% ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 เดือน และ 18 เดือน ตามลำดับ

นอกจากนี้ การส่งออกไปตลาดตะวันออกกลางและตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS ขยายตัว 11.4% และ 8.0% เป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 23 เดือน และ 16 เดือน ตามลำดับ รวมทั้งการส่งออกไปตลาด CLMV กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือนที่ 1.1% ซึ่งการส่งออกไปตลาดสำคัญที่ปรับตัวดีขึ้นสะท้อนถึงการส่งออกไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าจะรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในปี 2563

ขณะที่จากการวิเคราะห์ของ สนค. พบว่า มีสินค้าส่งออกหลายรายการที่ควรเร่งผลักดันเพื่อให้การส่งออกไทยกลับมาขยายตัว ในปี 2563 โดยสินค้าไทยมากกว่า 30 รายการ ครอบคลุมทั้งสินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม (สัดส่วนประมาณ 25% และขยายตัวมากกว่า 13%) ทำสถิติมูลค่าส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ท่ามกลางการค้าโลกที่ชะลอตัวในปี 2562 และคาดว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในปีนี้

ทั้งนี้ การที่ไทยสามารถส่งออกสินค้ากลุ่มนี้สูงสุดเป็นประวัติการสะท้อนความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาสินค้าของผู้ประกอบการไทยที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของตลาด สินค้าเกษตรและอาหาร อาทิ ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง นมและผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ นาฬิกาและส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องสำอางสบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ผ้าแบบสำหรับตัดเสื้อ และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า นอกเหนือจากการรุกตลาดส่งออกและผลักดันสินค้าศักยภาพแล้ว การเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อลดภาษีสินค้า รวมถึงการเจรจาแก้ไขปัญหาจากอุปสรรคและมาตรการทางการค้าที่ไม่ใช่มาตรการทางภาษี (NTBs และ NTMs) ในตลาดเป้าหมายก็เป็นอีกส่วนสำคัญในการผลักดันการส่งออกในอนาคต โดยหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนด้วย ในส่วนของผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในการดูแลรักษามาตรฐานสินค้าและบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้สินค้าไทยคงศักยภาพในการส่งออกต่อไป

Back to top button