STEC- CK-ITD ควงแขนวิ่ง! ลุ้นศาลรธน.พิจารณาร่างกม.งบประมาณปี 63 พรุ่งนี้
STEC- CK-ITD ควงแขนวิ่ง! ลุ้นศาลรธน.พิจารณาร่างกม.งบประมาณปี 63 พรุ่งนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ล่าสุด ณ เวลา 10.23 น. อยู่ที่ระดับ 16.30 บาท ปรับตัวขึ้น 0.90 บาท หรือ 5.84% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 528.58 ล้านบาท
ขณะเดียวกันราคาหุ้น บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK อยู่ที่ระดับ 20.60 บาท ปรับตัวขึ้น 0.50 บาท หรือ 2.49% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 155.50 ล้านบาท
อีกทั้ง ราคาหุ้น บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD อยู่ที่ระดับ 1.50 บาท ปรับตัวขึ้น 0.05 บาท หรือ 3.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 13.48 ล้านบาท
โดย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ”เก็งกำไร “หุ้นบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ราคาเป้าพื้นฐาน 21.4 บาท ประเมินการที่ศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 โดยไม่ไต่สวนพยาน พร้อมนัดลงมติช่วงบ่าย 7 ก.พ. จะเป็นการปลดล็อกงบลงทุนภาครัฐฯ ซึ่งจะเป็น Sentiment บวกมาที่หุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ (ซึ่งการที่ศาลฯนัดลงมติเร็ว จะทำให้งบลงทุนภาครัฐฯสามารถเริ่มเดินหน้าได้เร็ว) พร้อมคาด STEC จะมีกำไรในไตรมาส 4/62 เท่ากับ 337 ล้านบาท (ลดลง 11.8% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน,เพิ่มขึ้น 3.9% จากไตรมาสก่อน) ดีกว่าบมจ.ช.การช่าง (CK) ที่คาดว่าจะรายงานผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/62พร้อมประเมินแนวรับ 15.1 บาท / แนวต้าน 15.9 – 16.1 บาท (Trailing stop 14.8 บาท)
ขณะที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “T-BUY” STEC ราคาเป้าหมาย 20 บาท/หุ้น โดยคาดไตรมาส 4/62 จะมีกำไรปกติที่ชะลอตัว 305 ล้านบาท (ลดลง 10% จากไตรมาสก่อน, ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้หลังจากที่ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/62
ขณะที่จะมีรายการพิเศษกำไรจากการตีราคาอสังหาริมทรัพย์เข้ามาช่วย Backlogสูงและแนวโน้มได้งานใหม่ จะหนุนผลประกอบการเติบโตแม้ไม่เด่น ประเด็นที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในฐานะผู้ให้การสนับสนุน กรณีเรียกสินบนแลกให้เรือขนส่งอุปกรณ์โรงไฟฟ้าขนอมเทียบท่า ไม่มีผลต่อการดำเนินงาน และ การประมูลงานในอนาคต แต่สร้างความกังวลต่อตลาดในช่วงพิจารณาคดี หุ้นซื้อขายบน Valuation ที่ถูก คือบริเวณ Forward P/BV – 2 SD แนะนำ TRADING BUY เป้าหมาย 20 บาท
ทั้งนี้มองว่า STEC จะมียอดรับรู้รายได้จากโครงการหลักๆ คือ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สายสีชมพู สายสีส้ม รวมถึงโครงการอื่นๆ เราคาดจะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง แต่จะชะลอตัวลงเล็กน้อย 8,949 ล้านบาท (ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน, ลดลง4% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน 5.4% แต่ลดลงจากปีก่อน 7.6% รวมแล้วเราคาดจะมีกำไรปกติที่ชะลอตัวลงเหลือประมาณ 305 ล้านบาท (ลดลง 10% จากไตรมาสก่อน, ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน) นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้หลังจากที่ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/62 ซึ่งมีกำไรทรุดลงเหลือเพียง 268 ล้านบาท ทั้งนี้ในไตรมาสสี่ปกติจะมีกำไรจากการตีมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิ เช่น ไตรมาส 4/61 มีกำไรจากการตีราคาอสังหาริมทรัพย์ 263 ล้านบาท
ขณะที่ STEC มี Backlog ที่สูง 95,780 ล้านบาท จะทำให้ยอดรับรู้รายได้ในปีนี้เติบโตต่อเนื่อง เราคาดประมาณ 36,800 ล้านบาท เติบโต 12% แต่จากอัตรากำไรขั้นต้นโครงการในมือต่ำประมาณ 5-6% จากอดีตที่เคยได้ 7-8% จะทำให้กำไรมีการเติบโตไม่เด่นนัก เราประเมินกำไรปกติในปีนี้ 1,275 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย 2% ล่าสุดกลุ่ม BBS (BA 45% + BTS 35% + STEC 20%) ชนะประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกมูลค่าโครงการ 2.9 แสนล้านบาท โดยเฟสแรกการก่อสร้างประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท คาด STEC จะได้งานก่อสร้างช่วยเสริม Backlog
ด้านราคาหุ้น STEC ปัจจุบันซื้อขายบน Valuation ที่ถูก คือ P/BV 1.8 เท่า หรือ ใกล้ Forward P/BV-2SD ระยะ 10 ปีที่ 1.55 เท่า ส่วนค่าเฉลี่ย 10ปี เท่ากับ 3.39 เท่า ในขณะที่มีเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นสูง 8.2 พันล้านบาท ประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 20 บาท อิงค่าเฉลี่ย10ปี Forward P/E = 25 เท่า คงแนะนำ TRADING BUY