ตายเพราะกฎหมาย

เมืองไทยเมืองพุทธ มีคนใจบุญมากมาย ไม่เฉพาะมหาเศรษฐีที่นายกฯ เขียนจดหมาย ขอให้ทำโครงการช่วยประชาชน คนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ต้องรวยก็ช่วยกันได้ หอบข้าวกล่องหอบโจ๊กถุง จะไปให้คนยากจนคนตกงาน


ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง

เมืองไทยเมืองพุทธ มีคนใจบุญมากมาย ไม่เฉพาะมหาเศรษฐีที่นายกฯ เขียนจดหมาย ขอให้ทำโครงการช่วยประชาชน คนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ต้องรวยก็ช่วยกันได้ หอบข้าวกล่องหอบโจ๊กถุง จะไปให้คนยากจนคนตกงาน

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ความใจบุญเช่นนั้น “ผิดกฎหมาย” เจ้าหน้าที่ไม่ให้ทำ ยึดอาหารไปทั้งหมด ไม่ให้คนตาดำ ๆ ที่เข้าคิวรอ เพราะจะผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามมั่วสุมแออัด มีความผิดเท่ากับก่อม็อบ ใครจัด “ม็อบแจกอาหาร” จะต้องขออนุญาตก่อน โดยมีการดำเนินคดีไปแล้ว 2 ราย ที่หัวลำโพงและภูเก็ต

นี่คือการตีความกฎหมาย? เกิดประโยชน์อะไรต่อส่วนรวมบ้าง มีแต่ขัดขวางให้คนอยากบริจาคท้อใจ

ใช่ละ คนไปมุงกันแน่นเสี่ยงติดเชื้อ แต่ท่าทีของรัฐแทนที่จะส่งเสริมช่วยเหลือ กลับเอากฎหมายนำหน้า โฆษก ศบค.ปรามว่าจะมีความผิด ให้มาแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อน พอข้างบนปรามอย่างนั้น ฝ่ายปฏิบัติข้างล่าง ทั้งตำรวจทั้งจังหวัด เห็นคนมาแจกของ ก็ยึดก็ห้าม หรือดำเนินคดี แม้บอกคำนึงถึงเจตนาดี คงไม่ติดคุกหรอก แต่ต่อจากนี้ใครจะอยากแจก

นี่คือการใช้กฎหมายแบบรัฐไทย รัฐราชการเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งไม่ได้เอาเจตนารมณ์นำหน้า ใช้กฎหมายแบบกลไก ใช้ดุลพินิจแบบสุดโต่ง เห็นอะไรผิดไปหมด เข้มงวดบังคับทุกกระเบียดนิ้ว

ยิ่งมาผสมความกลัวยุคโควิด ซึ่งด้านหนึ่งก็มาจากดราม่าในสังคม เช่นการเผยแพร่ภาพ คลิป คนเบียดกันรับของแจก แล้วผู้ชมทางบ้านก็หวาดผวา เรียกร้องให้รัฐเข้ามาจัดการ รัฐก็ใช้อำนาจตัดปัญหา แต่พอพลิกมาอีกด้าน เถนตรงกระทั่งยึดโจ๊กนครปฐม ชาวบ้านก็ด่าขรม

แต่อย่ามาโทษสังคมดราม่า ในเมื่อรัฐไม่มีหลัก ไม่รู้จักใช้กฎหมายให้เหมาะสม เพราะถ้าดูกรณีที่คนเข้าคิวรับแจกอาหาร ก็ไม่ได้แออัดกว่าตอนแย่งกันเข้าห้างซื้อของกักตุน

การตีความกฎหมายโดยจี้แค่บางจุด จึงกลายเป็นว่า คนแออัดในห้างไม่ผิด แต่ถ้าแออัดเพื่อรับบริจาคผิด เหมือนคนนั่งล้อมวงกินข้าว 5-6 คนในห้องแคบ ๆ ไม่ผิด แต่ถ้ามีเหล้าเบียร์ ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันใด

ไม่ต้องแปลกใจ ประเทศไทยน่าจะติดอันดับหนึ่งของโลก เมื่อเทียบจำนวนผู้ติดเชื้อกับผู้ถูกจับกุม ติดเชื้อไม่ถึง 3 พัน แต่คนถูกจับฝ่าเคอร์ฟิวน่าจะเกินสามหมื่น

แล้วรัฐบาลก็เอาไปอ้างว่า นี่ไง คนฝ่าฝืนเคอร์ฟิวยังเยอะ ยังเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้ ทั้งที่ไม่สัมพันธ์กับตัวเลขผู้ติดเชื้อซึ่งลดลง

การบังคับใช้กฎหมายยังเกิดเรื่องเศร้า เช่น จ่าทหารถูกสั่งขัง 45 วันเพราะกระแสสังคมมองว่า “กร่าง” โต้เถียงผู้ว่าฯ ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเข้าจังหวัด ก่อนความปรากฏภายหลังว่า เขาจะพาแม่ป่วยติดเตียงไปหาหมอ ยิ่งกว่านั้นเมื่อดูคลิปฉบับเต็ม ยังเห็นว่าเขาเพียงขอคำชี้แจง แล้วก็ยอมแต่โดยดี จนกระทั่งคนในทีมผู้ว่าฯ พูดจาไล่หลัง จึงเกิดวิวาทะ

ที่ระนอง แรงงาน 6 คนก็จะถูกดำเนินคดี ฐานหลบหนีเข้าจังหวัด เพราะคำสั่งผู้ว่าฯ กำหนดให้ใช้ใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าไม่ติดโควิด อุตส่าห์ไปขอใบรับรองแพทย์ว่าไม่มีไข้ พร้อมจะให้กักตัว 14 วันก็ไม่ได้ พอแอบกลับเข้าไปก็มีความผิด

ไม่มีใครตั้งคำถามว่าคำสั่งผู้ว่าฯ จังหวัดต่าง ๆ ที่ปิดเส้นทาง คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ทำให้คนเดือดร้อนมากเพียงไร มีแต่บอกว่าเมื่อเป็นคำสั่งเป็นกฎหมายก็ต้องยอมรับ เช่นเดียวกับคำสั่งเคอร์ฟิว มีประโยชน์ต่อการควบคุมโรค หรือทำให้คนเดือดร้อน อันไหนมากกว่ากัน

ถ้ารวบรวมตัวเลข คนทุกข์ยากเดือดร้อนประสบชะตากรรมเพราะกฎหมายบังคับ อาจแซงหน้าคนป่วยไปแล้วไกลลิบ

Back to top button