รฟม.เผยงานรถไฟฯสายสีชมพู คืบหน้า 54% คงเป้าเปิดบริการต.ค.64

รฟม.เผยงานรถไฟฯสายสีชมพู คืบหน้า 54% คงเป้าเปิดบริการต.ค.64


นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข รองผู้ว่าการ (วิศวกรรมและก่อสร้าง) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) พบว่ามีความก้าวหน้าการก่อสร้างรวมกว่า 54% หลังจากได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2561 แบ่งเป็นงานโยธา 55.62% และงานระบบรถไฟฟ้า 49.95%

โดยรฟม. ยังคงวางเป้าหมายการเปิดให้บริการแก่ประชาชนภายในเดือนตุลาคม 2564 ซึ่งช่วงแรกวางแผนจะทยอยเปิดบริการตามความก้าวหน้าของการก่อสร้างต่อไป

ทั้งนี้ รฟม. ได้กำชับให้ดำเนินการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนและระยะเวลาที่กำหนดไว้ และต้องปรับแผนก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาในช่วงสถานการณ์โควิด-19 อย่างเต็มที่

โดยที่ผ่านมาโครงการฯ ได้ดำเนินงานในส่วนของโครงสร้างฐานรากแล้วเสร็จ และอยู่ในระหว่างเร่งดำเนินงานในส่วนที่เป็นระดับพื้นดิน เช่น การดำเนินงานก่อสร้างในส่วนของสถานีต่าง ๆ การติดตั้งคานทางวิ่ง (Guideway Beam) และ ทางเดินฉุกเฉิน (Evacuation Walkway) ซึ่งจะติดตั้งที่ด้านข้างของคานทางวิ่ง เพื่อเป็นทางเดินเท้าที่ใช้ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ขณะเดียวกันได้มีการดำเนินการในส่วนงานโยธาของสถานีต่าง ๆ  ไปแล้วจำนวน 28 สถานี

สำหรับการลงพื้นที่เมื่อวานนี้ ได้ติดตามดูความคืบหน้าการก่อสร้างสถานีมีนบุรี ซึ่งเป็น 1 ใน 4 สถานีสำคัญที่น่าสนใจ ทำหน้าที่เป็นฟีดเดอร์ในการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยเชื่อมต่อกันระหว่างชั้นจำหน่ายบัตรโดยสาร (Concourse Level) ชั้น 1 ของรถไฟฟ้าสายสีชมพู กับชั้นจำหน่ายบัตรโดยสาร (Concourse Level) ชั้น 2 ของสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้ม นอกจากนี้ ได้ชมการสาธิตการทำงานของกระบวนการสับเปลี่ยนรางรถไฟฟ้า (Switching Track) ของรถไฟฟ้าสายสีชมพู ณ บริเวณ ศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot)

“จากการตรวจความคืบหน้าในครั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีความก้าวหน้าในระดับที่น่าพอใจ แม้จะเป็นในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เพราะมีการปรับแผน การทำงานในช่วงกลางวันเพื่อทดแทนช่วงเวลาเคอร์ฟิว ซึ่งทุกส่วนงานร่วมมือกันดำเนินงานอย่างเต็มที่ จึงอยากให้รักษามาตรฐานของการทำงานเช่นนี้ไว้ โดย รฟม.จะมีการลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไป”

สำหรับขบวนรถตามกำหนดจะเข้ามาถึงประเทศไทยประมาณเดือนตุลาคม 2563 รองรับผู้โดยสาร 28,000 คน/ชม./ทิศทาง ภายในห้องโดยสารของขบวนรถจะมีอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ครบครัน ทั้งกล้อง CCTV เครื่องตรวจจับควัน ปุ่มติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ควบคุมรถ ถังดับเพลิงและที่เปิดประตูฉุกเฉิน

ทั้งนี้ในส่วนของตู้โดยสาร จะเป็นตู้ Innovia 300 Monorail จาก Bombardier Rail Control Solutions ซึ่งมีความรวดเร็วในการดำเนินงาน มีปริมาณความจุปานกลาง ซึ่งเพียงพอและเหมาะสมกับการเป็นฟีดเดอร์ทำหน้าที่ขนส่งผู้โดยสารจากชานเมือง เชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายหลัก รวมทั้งตัวรถมีน้ำหนักเบากว่าและใช้ล้อยางจึงทำให้มีเสียงรบกวนน้อยกว่ารถไฟฟ้าสายหลักที่มีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ประหยัดพลังงาน มลพิษต่ำ และที่สำคัญมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง

Back to top button