ชู 2 หุ้น Top Picks ราคา Laggard อัพไซด์สูง-พ่วงปัจจัยบวกเฉพาะตัว

ชู 2 หุ้น Top Picks ราคา Laggard อัพไซด์สูง-พ่วงปัจจัยบวกเฉพาะตัว


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ในช่วงตลาดผันผวน โดยพบว่านักวิเคราะห์มอง Valuation ของตลาดค่อนข้างตึงตัว อย่างไรก็ตามยังแนะนำซื้อหุ้นที่มีปัจจัยบวกด้านพื้นฐานเฉพาะตัว ขณะที่ราคายังต่ำกว่าหุ้นตัว (Laggard) อีกทั้งยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูง

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (12 พ.ค.2563) โดยประเมินว่า SET Index น่าจะผันผวนที่บริเวณ 1,300 +/-20 จุดต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยแรงขับเคลื่อนหลักยังเป็นการซื้อจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ แต่ก็น่าจะมีน้ำหนักเบาลงเมื่อเทียบกับในอดีต ส่วนในเชิงของ Valuation ปัจจุบันค่า PER วิ่งเข้าใกล้ 18 เท่า มุมเดียวที่จะทำให้ SET Index ปรับขึ้นไปต่อได้คือต้องมองข้ามไปที่ EPS ปี 2564 วันนี้ปรับพอร์ตโดย ขายทำกำไร STA และย้ายเงินเข้า BCH หุ้น Top Picks เลือก BCP (FV@B 22) และ BCH (FV@B 18.68)

ทั้งนี้ ได้ประเมินสถานะของตลาดหุ้นไทยใน 2 มุมมอง โดยในมุมมองที่ 1 เป็นเรื่องของแรงขับเคลื่อนตลาดที่มาจาก Fund Flow พบว่าแรงซื้อที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยมาโดยตลอดในช่วงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา คือนักลงทุนสถาบันในประเทศ (ขณะที่แรงขายหลักมาจากนักลงทุนต่างชาติ) ทั้งนี้แรงซื้อที่มาจากนักลงทุนสถาบันในประเทศต้นทางหลักน่าจะเกิดจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินที่ต้องการวิ่งเข้าหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น หลังจากผลตอบแทนในตลาดพันธบัตร และตราสารหนี้อยู่ในระดับต่ำ

สำหรับแนวโน้มจากนี้เป็นไปได้ที่แรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันในประเทศอาจเบาลง หลังสภาพคล่องส่วนเกินบางส่วนถูกดูดออกมาเพื่อนำเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Sector) ผ่าน พ.ร.ก.กู้เงินฯ 1 ล้านล้านบาท เพื่อใช้เยียวยาภาคครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 อีกมุมมองหนึ่ง เป็นเรื่องของ Valuation ซึ่งตัวแปรสำคัญในเรื่องนี้ได้แก่ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ที่ถูกคาดหมายว่าEPS Growth จะหดตัวลง 17% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนในปี 2563 มาอยู่ที่ 72.6 บาท/หุ้น แต่จากการติดตามการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2563 จนถึงปัจจุบันพบว่ามีบริษัทฯ ที่ประกาศออกมาแล้ว 44% ของ Market Cap มีกำไรสุทธิลดลง 59% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 46% จากไตรมาสก่อนทำให้มีโอกาสที่จะเห็นการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ลงอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้หลังการประกาศตัวเลขไตรมาส 1/2563 ครบ ซึ่งก็เท่ากับว่าที่ระดับ SET Index ปัจจุบันมีค่า PER อยู่ที่บริเวณ 18 เท่า และหากมองข้ามไปในปี 2564 ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะเห็นการฟื้นตัวกลับของการทำกำไรบริษัทจดทะเบียน เบื้องต้นคาดฐานกำไรสุทธิรวท 8.45 แสนล้านบาท คิดเป็น 78.6 บาท/หุ้น ก็จะทำให้ค่า PER ปี 2564 ลดลงมาอยู่ที่ราว 16.4 เท่า ดังนั้นในมุมมองนี้หากคิดว่า SET Index จะปรับตัวขึ้นไปได้ต่อ ก็ต้องมองข้ามผลประกอบการที่คาดว่าจะหดตัวแรงในปี 2563 ไป แล้วไปคาดหวังบนคาดการณ์ EPS ปี 2564  อย่างไรก็ตามในระยะสั้น เชื่อว่า SET Index น่าจะเคลื่อนไหวผันวผนบริเวณ 1300 +/- 20 จุด ต่อไปอีกระยะหนึ่ง กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำให้ ขายทำกำไรหุ้น STA หลังราคาหุ้น ปรับขึ้นมาแตะ Fair Value และให้นำเงินสลับเข้าลงทุนใน BCH ซึ่งยัง Laggard ส่วนหุ้น Top Pick วันนี้เลือก BCP และ BCH

ซาอุฯ จะตัดลดการผลิตน้ำมันเพิ่มอีก 1 ล้านบาร์เรล ดีต่อ PTT

ราคาน้ำมันดิบโลกคาดยังแกว่งตัว 30 เหรียญฯ และมีโอกาสปรับขึ้นต่อ โดยมีปัจจัยหนุนจาก ฝั่ง Demand น้ำมันที่เริ่มกลับมา  หลังจากในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. หลายประเทศทั่วโลกเริ่ม Reopen ประเทศ และทยอยกลับมาดำเนินธุรกิจ แม้ในช่วงที่ผ่านมาการ Lockdown ประเทศทั่วโลก  ทำให้ Demand  น้ำมันดิบโลก เดือน เม.ย.หายไป 30 ล้านบาร์เรล/วัน มาอยู่ราว 70 ล้านบาร์เรล/วัน   เช่นเดียวกับฝั่ง Supply หลังจากมติกลุ่ม OPEC+ (หลักๆคือ ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย)  เริ่มปรับลดกำลังการผลิตลงถึง  9.7 ล้านบาร์เรล/วัน ตามแผนตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.  และล่าสุด เมื่อวานนี้ ซาอุดิอาระเบียจะเพิ่มการตัดลดการผลิตลงอีก 1 ล้านบาร์เรลมาอยู่ที่ 7.5 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน (ดังรูป)

โดยรวม ASPS เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบโลกมีโอกาสปรับขึ้นต่อจากปัจจัยหนุนดังกล่าวบวกต่อหุ้นพลังงาน โดยแนะนำลงทุน  PTTEP (FV@B100) และ PTT (FV@B42)

ส่วนกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี ASPS คาด spread ของทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือน เม.ย. โดยคาดไตรมาส 1/2563 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2563 จากนี้ไปน่าจะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้ในทิศทางขาขึ้นช่วงที่เหลือของปี ยังคงเลือก IVL (FV@B28)

เป้าหมาย SET ปี 63 เริ่มตึง แต่เป้าหมายปีหน้า 1,367 จุด ยังพอไหว

SET Index ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดกลางเดือน มี.ค. 2563 มาแล้วกว่า 318 จุด หรือ 32.8% มาอยู่ที่ 1287.30 จุด (มากกว่าเป้าหมายปี 2563 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้) แสดงให้เห็นถึงตลาดมองข้ามช็อต และคาดหวังไปถึงแนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าบ้างแล้ว ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงทำการอัพเดทสถานะ รวมถึงประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนล่าสุดว่า SET Index ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่

เริ่มจากอัพเดตกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 1/2563 มีการรายงานงบออกมาแล้วทั้งสิ้น 111 บริษัท (คิดเป็น 44% ของมูลค่าตลาด) มีกำไรสุทธิรวมกันทั้งสิ้น 6.3 หมื่นล้านบาท ลดลงถึง 46.5% จากไตรมาสก่อน และ 58.9% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน (ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ลดลง 17%) เพราะฉะนั้นการที่กำไรงวด 1Q63 ลดลงแรง บวกกับมีแนวโน้มลดลงอีกในงวดไตรมาส 2/2563  ทำให้โอกาสในการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ของแต่ละโบรกเกอร์ลงอีก ถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงของตลาด

ทั้งนี้หากประเมินสถานะของประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนล่าสุด พบว่า มีการทยอยปรับลดประมาณการลง จนล่าสุดกำไรปี 2563 ลดลง 6.2 หมื่นล้านบาท เหลือ 7.19 แสนล้านบาท (ลดลงจาก 7.81 แสนล้านบาท) และกำไรปี 2564 ลดลงเหลือ 8.45 แสนล้านบาท ส่งผลให้ EPS63F ลดลงจาก 72.62 บาท/หุ้น เหลือ 66.82 บาท/หุ้น และ  EPS63F เหลือ 78.56 บาท/หุ้น

แสดงให้เห็นว่า SET Index ณ ปัจจุบัน ที่ 1287.30 จุด ถูกซื้อขายกันบน Expected PER63 และ เท่ากับ 19.27 เท่า ถือเป็นระดับที่แพง แต่หากประเมินจาก  Expected PER64 เท่ากับ 16.4 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่ไม่สูงมากนัก และเป็นแรงที่ช่วยสร้างความหวังให้ตลาดยืนอยู่ได้

และหากประเมินเป้าหมาย SET Index จากข้อมูลที่มี ณ ปัจจุบัน ภายใต้ระดับ PER 17.4 เท่า (ประเมินจาก Market Earning Yield Cap ที่ระดับ 5%) จะได้เป้าหมายดัชนีปี 2564 อยู่ที่ 1366 จุด

ดังนั้นยามที่ Valuation ตลาดเริ่มตึง และมีความเสี่ยงที่กำไรจะถูกปรับลดลงอีก และยังขาด Fund Flow หนุน กลยุทธ์การลงทุนจำเป็นต้องพิถีพิถันในการลงทุน และแนะลงทุนในหุ้นที่ Laggard มีโอกาสเป็นเป้าหมายของ Fund Flow ในการ Rotation มาถึงในระยะถัดไป คือ BCP และ BCH มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

BCP เป็นหุ้น Laggard กลุ่มและหุ้นลูก คือ  ราคาหุ้น Laggard กลุ่มโรงกลั่นอยู่มาก โดยในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 3.2% ขณะที่หุ้นในกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง เช่น SPRC เพิ่มขึ้น 33.3%, TOP 24.4% เป็นต้น ด้านที่สาม ราคาหุ้น BCP ยัง Laggard ราคาหุ้นลูกอยู่มาก ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCPG ปรับตัวขึ้นถึง 12.6% ซึ่ง BCP ถือครอง BCPG อยู่ถึง 70.04%

BCH เป็นหุ้นที่ Laggard ตลาดอยู่มาก เนื่องจากในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวขึ้นกว่า 4.8% และปรับตัวขึ้นมาเกือบทุกกลุ่ม ยกเว้น ธ.พ. และโรงพยาบาล ที่ลดลง -4.08% 0.43% ตามลำดับ ขณะที่ต่อจากนี้น่าจะได้แรงหนุนจากการเริ่มกลับมาเปิดเมือง ทำให้ผู้ป่วยเริ่มไปโรงพยาบาลมากขึ้น รวมถึงฤดูกาลที่เริ่มเปลี่ยนมาเป็นหน้าฝน ถือเป็น Sentiment ที่ดีต่อกลุ่มฯ ส่วนแนวโน้มผลประกอบคาดงวดไตรมาส 1/2563 ยังเติบโตได้ 4.1% จากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากรายได้ประกันสังคมเติบโตสูงขึ้นถึง 11.3% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน มาชดเชยผลกระทบจาก COVID-19 ต่อผู้ป่วยเงินสด

 

 

 

Back to top button