คัด 40 หุ้นบจ. SET โชว์งบ Q1 กำไรโตทะลักเกิน 100%

คัด 40 หุ้นบจ. SET โชว์งบ Q1 กำไรโตทะลักเกิน 100%


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) ที่ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะกลุ่มหุ้น SET ที่มีกำไรสุทธิเติบโตเกิน 100% และเติบโตแข็งแกร่งสวนวิกฤติแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และภาวะสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯที่กดดันการลงทุนทั่วโลก อย่างไรก็ตามจะขอนำเสนอข้อมูลประกอบหุ้นเพียง 5 อันดันแรกจากหุ้นทั้งหมด 40 ตัว ดังตารางประกอบ

อันดับ 1 บริษัท วิค จำกัด (มหาชน) หรือ WIIK รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2563 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.2563 ดังนี้มีกำไรสุทธิ 24.39 ล้านบาท เติบโต 19567.74 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 0.12 ล้านบาท

โดยภาพรวมของผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2563 จะเห็นว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 24.39 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอย่างมีสาระสำคัญ ผลมาจาก Backlog ณ วันสิ้นปี 2562 มีปริมาณเพิ่มขึ้นและสามารถผลิตและส่งมอบอย่างต่อเนื่องทั้งจากงานที่ได้รับจากเขตอุตสาหกรรมพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และงานที่เกี่ยวกับภัยแล้ง

โดยมีสาเหตุสำคัญดังต่อไปนี้รายได้จากธุรกิจขายท่อในไตรมาส 1/2563 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2562 จำนวน 30.96 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.91 ส่วนรายได้จากธุรกิจติดตั้งท่อในไตรมาส 1/2563 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2562 จำนวน 38.01 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 231.77

รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการน้ำ แบ่งลักษณะรายได้ 2 ประเภท คือ 1.รายได้จากผลิตและจำหน่ายน้ำ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2562 จำนวน 10.31 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากการผลิตน้ำให้เทศบาลป่าตอง จังหวัดภูเก็ตของบริษัทย่อยทางอ้อม และ 2.รายได้จากติดตั้งและจำหน่ายระบบผลิตน้ำ เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2562 จำนวน 25.85 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากสัญญาออกแบบก่อสร้าง และเดินระบบผลิตน้ำประปา แบบ Turnkey เพิ่มขึ้น

 

อันดับ 2 บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.63 มีกำไรสุทธิ 39.94 ล้านบาท เติบโต 7,255.25 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 0.54 ล้านบาท
บริษัทมีรายได้รวม 718.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 637.98 ล้านบาท จำนวน 80.91 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.68% และมีกำไรสุทธิ 43.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.33 ล้านบาท จำนวน 42.15 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3,169%

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มธุรกิจ โดยกลุ่มรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 12.53% จากปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปของโครงการภาครัฐและเอกชนสูงขึ้น และการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น สำหรับกลุ่มรายได้จากการให้เช่าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 27.62% จากการให้เช่าและบริการรถขนส่งสินค้าประเภทคอนกรีตผสมเสร็จ (Ready-Mixed Concrete) อีกทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทย่อย บมจ.สมาร์ทคอนกรีต (SMART) ปรับตัวดีขึ้นมาก

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/63 ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากงานโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็ค และโครงสร้างพื้นฐานในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อาทิ นิคมอุตสาหกรรม ทยอยดำเนินงานก่อสร้าง
อีกทั้งยังมีโครงการของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานถนน ขณะที่ภาคเอกชนยังคงชะลอการลงทุนจากผลกระทบสถานการณ์ไวรัสโควิด 19 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ เร่งระบายสต็อกและกลับมาทยอยลงทุนอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง

อันดับ 3 บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ BJCHI รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรสุทธิ 108.60 ล้านบาท เติบโต 3,441.02 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3.07 ล้านบาท เนื่องจากรายได้รวมอยู่ที่ 872.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.3% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ที่ 396.1 ล้านบาท
ส่วนสาเหตุที่ผลประกอบการที่เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัททยอยรับรู้รายได้จากงานโครงการในมือ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในไตรมาส1/2563 ส่งผลให้บริษัทมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย

อันดับ 4 บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGH รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 63 มีกำไรสุทธิ 86.47 ล้านบาท เติบโต 1,002.78% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 7.84 ล้านบาท

เนื่องจากรายได้รวมไตรมาส1/63 อยู่ที่ 357.81 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน 202.60 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 76.61% เป็นผลจากบริษัทมีรายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 176.81 ล้านบาท เนื่องจากมีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น

อีกทั้งมีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 7.64 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยรับจากตราสารหนี้ และดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 25.14 ล้านบาท จากผลของกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจำนวน 13 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิของบริษัทร่วมทั้งสองบริษัท

อันดับ 5 บริษัท เอส. แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SPACK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม มีกำไรสุทธิ 10.71 ล้านบาท เติบโต 992.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 0.98 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากไตรมาส1/2563 รายได้จากการขายและการให้บริการอยู่ที่ 294.14 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 278.20 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ได้รายงานยอดขายในไตรมาส 1 ปี 2563 รวม 2.68 ล้านล้านบาทลดลง 4.3% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 98,524 ล้านบาท ลดลง 60.5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
โดยหมวดธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากสงครามราคาน้ำมัน ได้แก่หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ซึ่งหากไม่รวม 2 หมวดดังกล่าวจะมีกำไรสุทธิลดลงเพียง 25.2%
ส่วนหมวดธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี คือ หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่ได้ผลบวกทั้งด้านยอดขายและอัตรากำไรที่สูงขึ้น เช่น อาหารสด และปศุสัตว์ รวมถึงเครื่องดื่มและหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ซึ่งเติบโตจากสินเชื่อส่วนบุคคลและหมวดธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่ได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบลดลง

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button