จัดกลยุทธ์ลงทุนดือนมิ.ย. ชู 11 หุ้นเด่น เน้นธีมเปิดเมืองเฟส 3-4 ราคา laggard  

จัดกลยุทธ์ลงทุนดือนมิ.ย. ชู 11 หุ้นเด่น เน้นธีมเปิดเมืองเฟส 3-4 ราคา laggard  


เข้าสู่การลงทุนเดือนมิถุนายน 2563 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมกลยุทธ์การลงทุนพร้อมปัจจัยที่ต้องจับตาในการลงทุนมานำเสนอโดยอาศัยบทวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ชั้นนำของไทยนำโดยบล.เคจีไอ และบล.ฟินันเซีย ไซรัส

โดยโบรกเกอร์มีมุมมองต่อตลาดหุ้นเดือนนี้ว่าจะยังไม่ลงแรง เนื่องจากปัจจัยบวกเรื่องการกลับมาเปิดเศรษฐกิจมีน้ำหนักมากกว่า ดังนั้นจึงมองว่าตลาดน่าจะพักฐานมากกว่าจะลงแรง โดยให้น้ำหนักไปที่การเปลี่ยนกลุ่มเล่นมากกว่า

ทั้งนี้ มุมมองเดือนนี้จะเน้นไปที่เฟสถัดไปของการเปิดเศรษฐกิจ โอกาสที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับมาใน ไตรมาส 3/63และหุ้นกลุ่มหลักที่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มาก เช่น ธนาคาร และโรงพยาบาล ในขณะเดียวกัน มุมมองว่าตลาดจะเทรดไซด์เวย์ในเดือนนี้ยังมีความเสี่ยงทางลงที่สำคัญสองประการ ได้แก่ i) สัญญาณที่ชัดเจนขึ้นว่า Covid-19 จะกลับมาระบาดระลอกสอง และ ii) ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐเลวร้ายลงกว่าที่เป็นในขณะนี้

บล.เคจีไอ  ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มุมมองตลาดหุ้นเดือน มิ.ย. น่าจะไซด์เวย์ และด้วยปัจจัยแวดล้อมที่ยังเป็นบวกอยู๋ คาดว่าตลาดหุ้นจะเกิดการเปลี่ยนกลุ่มเล่น มากกว่าจะปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ

โดมองว่าดัชนี SET น่าจะพักฐานในเดือนมิถุนายน โดยแม้ว่าดัชนี SET จะเหลือ upside ถึงเป้าปีนี้ของที่ 1,370 อีกแค่ 2% แต่มองว่าปัจจัยต่าง ๆ ในตลาดยังคงเป็นบวก และในอีกสองสามสัปดาห์ข้างหน้า ราคาหุ้นที่แพงมากก็น่าจะทำให้มีการเปลี่ยนกลุ่มมากกว่าจะเกิดการปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญ

มองว่าประเด็นเรื่องการกลับมาเปิดเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกอีกครั้งกำลังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ในขณะที่ยังไม่เห็นการเร่งตัวขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกที่มีน้ำหนักมากถึงขนาดที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่ต้องกลับมาปิดเศรษฐกิจกันใหม่อีกรอบ

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ มองว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวจากบางประเทศสามารถเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญกับประเทศไทยเพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาภาคท่องเที่ยวอย่างสูง

ในขณะเดียวกัน มุมมองว่าตลาดจะเทรดไซด์เวย์นั้นมีความเสี่ยงทางลงอยู่ 2 ประการ ได้แก่ i) สัญญาณที่ชัดเจนขึ้นว่า Covid-19 จะกลับมาระบาดระลอกสอง และ ii) ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐเลวร้ายลงกว่าที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน

หุ้นเด่นเดือนมิถุนายน: เน้นที่เฟสถัดไปของหุ้นการเปิดเศรษฐกิจ และหุ้น laggard  ในเดือนนี้ ได้จัดธีมการเลือกหุ้นที่สอดคล้องกับมุมมองตลาดของสี่ธีมด้วยกัน

ธีมแรก คือหุ้นกลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์เฟสที่ 3 ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันนี้ และเฟสที่สี่ ซึ่งคาดว่าจะมีผลภายในสิ้นเดือนมิถุนายน ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในกลุ่มขนส่งมวลชนอย่างเช่น BEM* และ BTS* จากการที่จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น

ธีมที่สอง คือการเริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาในไตรมาส 3/63 จะช่วยหนุนราคาหุ้นอย่างเช่น AOT* และ BDMS* ซึ่งธีมนี้จะเป็นระยะยาวมากกว่าธีมการเปิด

ธีมที่สาม หันกลับมาหาหุ้นธนาคารอย่าง BBL* และ KBANK* ซึ่งมีโอกาสปรับขึ้นจากระดับ valuations ที่ต่ำมากในปัจจุบัน ภายใต้สมมติฐานว่าสภาพคล่องที่ล้นตลาดจะทำให้มีการซื้อขายเปลี่ยนกลุ่มเล่น (sector rotation) และธีมที่สี่ เลือกที่จะจำกัดความผันผวนของพอร์ตด้วยการเพิ่มหุ้นโรงไฟฟ้าเช่น EGCO* ซึ่งจะได้ประโยชน์หากมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในเดือนนี้

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Up ในกรอบ 1,335-1,350 จุด โดยกลุ่มพลังงานจะกลับมานำตลาดระยะสั้นหลังราคาน้ำมันดิบคืนวันศุกร์พุ่งแรงกว่า 5% ขณะที่ตลาดยังให้น้ำหนักกับการ Reopen Economy

อย่างไรก็ตามยังต้องระมัดระวังสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนหลังทรัมป์แถลงยกเลิกข้อตกลงพิเศษต่างๆที่ให้แก่ฮ่องกงเพื่อตอบโต้จีนที่ผ่านกฎหมายความมั่นคง ขณะที่ดัชนีที่ปรับตัวขึ้นมากว่า 30% ในช่วง 2 เดือนครึ่ง Price In ปัจจัยบวกจากมาตรการผ่อนคลายระยะต่างๆไปมาก ทำให้ระยะถัดอาจมีแรง Sell on Fact หลังสถานการณ์กลับมาใกล้ระดับปกติก่อนมี COVID-19

ประเมินกรอบบนของดัชนีรอบนี้บริเวณ 1,360-1,400 จุด ซึ่งเทียบเท่า 2021PER ถึง 16.5 เท่าซึ่งไม่ถูกและแนะนำทยอยทำกำไรหากดัชนีปรับตัวขึ้นแตะระดับดังกล่าว ส่วนระยะสั้นจึงเน้นเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวและกลุ่มที่ยัง Laggard เช่น กลุ่มการแพทย์ สื่อสารฯ

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นและกลุ่มที่ยัง Laggard //รอจังหวะปรับฐานของดัชนีก่อนทยอยสะสมหุ้นพื้นฐาน หุ้นเด่นเดือน มิ.ย. :  ADVANC, BDMS, CPF, STEC, TVO

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button