2 โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” STGT เคาะเป้าสูงลิบ 85 บ.รับกระแสถุงมือยางฮอต ฟันกำไรโตก้าวกระโดด!

2 โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” STGT เคาะเป้าสูงลิบ 85 บ. รับกระแสถุงมือยางฮอต ฟันกำไรโตก้าวกระโดด!


ด้านบทวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กำหนดคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT  ให้ราคาเป้าหมาย 85 บาท/หุ้น โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-65 ขึ้นเป็น 4.8 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 654% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน), 6.9 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 45% เทียบกับปีก่อน) และ 4.6 พันล้านบาท (ลดลง 34.4% จากปีก่อน) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนราคาขาย และยอดขายที่สูงขึ้น

โดย บล.กสิกร คาด STGT จะสามารถคงราคาขายในระดับนี้ไปได้ถึงไตรมาส 1/64 จากนั้นจะเริ่มปรับลดลง 5-10% เทียบกับไตรมาสก่อน ในไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป เนื่องจากสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 น่าจะเบาบางลงแล้ว

ทั้งนี้ กำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 2/63 คาดจะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ 400% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 105% เทียบกับไตรมาสก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 16.3% เทียบกับไตรมาสก่อน และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 10.2% ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ในไตรมาสที่สองนี้จะอยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.8% จากปีก่อน และ 30.9% จากไตรมาสก่อน

ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ” และเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นจาก 43.4 บาท เป็น 85.00 บาท หรือคำนวณด้วย PER ปี 2563 ที่ 25.4 เท่า

ขณะเดียวกัน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น STGT ที่ราคาเป้าหมาย 85 บาท/หุ้นเช่นกัน อิง PER 2563 ที่ 29 เท่า เทียบเท่า +1SD above 5-yr average PER ของ peer (4 ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย) จากเดิมที่อิง PER 2563 ที่ 24 เท่า (เทียบเท่า 5-yr average PER ของ peer)

นอกจากนี้ มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ จาก 3 เหตุผลหลักดังนี้ 1) ความต้องการใช้ถุงมือยางยังคงสูงต่อเนื่อง โดยยอดคำสั่งซื้อถุงมือยางมีไปถึงครึ่งหลังปี 64 จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังคงเพิ่มขึ้นในหลายประเทศและการกลับมาระบาดรอบ 2 ในอีกหลายประเทศ 2) บริษัทสามารถปรับราคาขายในช่วงครึ่งหลังปี 2563 ได้มากกว่าที่คาดเดิม

โดยจะปรับเพิ่มขึ้นทันทีครั้งเดียวจากไตรมาส 1/63 ราว 30-45% (จากเดิมที่ค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นเดือนละ +5%) และ 3) Gross profit margin (GPM) จะดีขึ้น จากการปรับสัดส่วนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ (ยางสังเคราะห์) มากขึ้นเป็น 40-45% ของกำลังการผลิต (1Q20 = 30%) เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตต่ำกว่ายางธรรมชาติ

ดังนั้นฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ขึ้น +49% เป็น 4,200 ล้านบาท (+562% เทียบกับปีก่อน) และปี 2564 เพิ่มขึ้น +45% เป็น 4,550 ล้านบาท (+8% จากปีก่อน)  โดยประเมินกำไรไตรมาส 2/63 ที่ประมาณ 800-1,000 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/63 ที่ 422 ล้านบาท)

ด้านราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +100% จากราคา IPO ที่ 34.00 บาท จากความต้องการของของถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นมากจาก COVID-19 อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าราคาหุ้นจะยังคง outperform จาก outlook ที่ยังดีต่อ และปัจจุบัน STGT เทรดที่ PER 2563 ที่ 23 เท่า (+0.5SD above 5-yr average PER ของ peer) และยังต่ำกว่า peer ที่เทรดที่ 53 เท่า (สูงกว่า +2SD above 5-yr average PER)

ขณะที่ความต้องการถุงมือยางยังสูงต่อเนื่องถึงช่วงครึ่งหลังปี 2564 โดยมีมุมมองเป็นบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์ ซึ่งมีประเด็นสำคัญดังนี้

1) บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตั้งราคาใหม่ในช่วงครึ่งหลังปี 2563 จากเดิมที่ปรับเพิ่มขึ้นเดือนละ +5% เทียบกับเดือนก่อน เป็นปรับเพิ่มขึ้นครั้งเดียวในช่วงไตรมาส 3/63 ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยของไตรมาส 3/63 และไตรมาส 4/63 ซึ่งคาดว่าราคาในไตรมาส 3/63 จะปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 30%-45% จากไตรมาสก่อน (Fig.3)

โดยจากประเด็นดังกล่าวประเมินรายได้ปี 2563 อยู่ที่ 23,588 ล้านบาท (+97% จากปีก่อน) เป็นผลสืบเนื่องจาก COVID-19 ส่งผลให้ความต้องการถุงมือยางล้นตลาดและการเกิดการระบาดรอบสองในหลายประเทศทั่วโลก, 2) บริษัทมีแผนปรับสัดส่วนการผลิตถุงมือยางไนไตรล์ให้มากขึ้นเป็น 40-45% ของกำลังการผลิต

ขณะที่ ณ ไตรมาส 1/63 มีสัดส่วน 30% (Fig.4) เนื่องจากความต้องการถุงมือยางไนไตรล์ที่เพิ่มสูงขึ้นรวมถึงต้นทุนของยางสังเคราะห์อยู่ในระดับต่ำ (Fig.5-6) และ 3) บริษัทยังคงตั้งเป้าการผลิตโดยมี utilization ปี 2563 อยู่ที่ระดับ 95% ของกำลังการผลิตที่ประมาณ 33,000 ล้านชิ้น/ปี

Implication

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการณ์กำไรสุทธิปี 2563 เพิ่มขึ้น +49% อยู่ที่ 4,200 ล้านบาท (+562% จากปีก่อน) สาเหตุจากการปรับกลยุทธ์การตั้งราคาใหม่ โดยคาดว่าราคาขายเฉลี่ยปี 2563 อยู่ที่ 0.80 บาท/ชิ้น (+33% จากปีก่อน) เป็นผลจาก demand ถุงมือยางที่สูงขึ้นก้าวกระโดดจาก COVID-19 รวมถึงการปรับเพิ่มการผลิตถุงมือยางไนไตรล์เพิ่มขึ้น ทำให้เราประเมินว่า gross profit margin จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากเดิม 22.5% ขณะที่ยังคงสมมติฐานค่าเงินบาทอยู่ที่ 32 บาท/เหรียญสหรัฐฯ

สำหรับปี 2564 ฝ่ายปรับเพิ่มขึ้น +45% อยู่ที่ 4,550 ล้านบาท (+8% เทียบกับปีก่อน) คาดว่าราคาขายเฉลี่ยปี 2564 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 0.85 บาท/ชิ้น (+6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) และประเมินว่าบริษัทจะยังสามารถรักษาระดับ gross profit margin ได้เทียบเท่าปี 2563 ที่ระดับ 25% และยังคงอยู่บนสมมติฐานค่าเงินบาทอยู่ที่ 32 บาท/เหรียญสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 85.00 บาท จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 47.00 บาท โดยเรา re-rate targeted PER ขึ้นเป็น 29 เท่า เทียบเท่า +1SD above 5-yr average PER ของ peer (4 ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย) จากเดิมที่อิง  PER 2564 ที่ 24 เท่า (เทียบเท่า 5-yr average PER ของ peer)

โดยมองว่าจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ส่งผลให้รวมถึงวัตถุดิบในการผลิตถุงมือยางอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2019 ส่งผลให้กำไรปี 2563 จะเติบโตโดดเด่น +565% จากปีก่อน ทำให้มองว่า STGT ควรเทรดที่ระดับ +1SD above 5-yr average PER ของ peer ในขณะที่ หุ้นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในประเทศมาเลเซียปัจจุบันเทรดที่มากกว่า +2SD above 5-yr average PER

Back to top button