พาราสาวะถี

เปิดทำการวันแรกหลังหยุดยาวเป็นคำรบที่สองของเดือนนี้ กับการประชุมคณะรัฐมนตรีสิ่งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หนีไม่พ้นมีอยู่ 2 คำถามคือ ม็อบนักเรียน นิสิต นักศึกษา กับการที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดังกระทิงแดง ในคดีซิ่งรถหรูชนตำรวจสน.ทองหล่อตายเมื่อเดือนปี 2555 โดยที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่มีความเห็นแย้ง ที่ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์กันอื้ออึงไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ


อรชุน

เปิดทำการวันแรกหลังหยุดยาวเป็นคำรบที่สองของเดือนนี้ กับการประชุมคณะรัฐมนตรีสิ่งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หนีไม่พ้นมีอยู่ 2 คำถามคือ ม็อบนักเรียน นิสิต นักศึกษา กับการที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดังกระทิงแดง ในคดีซิ่งรถหรูชนตำรวจสน.ทองหล่อตายเมื่อเดือนปี 2555 โดยที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่มีความเห็นแย้ง ที่ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์กันอื้ออึงไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ

แน่นอนว่า ทั้งสองเรื่องจะกลายเป็นเรื่องเดียวกัน ม็อบนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่จุดประกายเริ่มต้นโดยเยาวชนปลดแอก และสหพันธ์นักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทยหรือสนท. กับ 3 ข้อเสนอ หยุดคุกคามประชาชน ยุบสภา และแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งในรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ขานรับก่อม็อบกันไปทั่วประเทศ ท่ามกลางการสั่งห้ามชุมนุมของผู้บริหารสถานการศึกษาต่าง ๆ ที่เป็นลูกไล่ฝ่ายกุมอำนาจมาตั้งแต่รัฐบาลเผด็จการคสช.

พอมีเหตุเรื่องไม่ฟ้องทายาทอภิมหาเศรษฐีใหญ่ของประเทศ มันจึงกลายเป็นสิ่งที่จะถูกนำมาพ่วงเข้ากับความเคลื่อนไหวของกลุ่มเรียกร้องไปในทันที เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่มีใครเชื่อว่า เหตุผลที่อัยการไม่สั่งฟ้องและฝ่ายตำรวจไม่โต้แย้ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผู้นำองค์กรสีกากีเป็นคนประกาศชัดเองว่าจะต้องดำเนินคดีถึงที่สุด ไม่สนว่าจะเป็นใครมาจากไหน แต่ฉากจบกลายเป็นหนังคนละม้วน ด้วยจุดเล็ก ๆ เช่นนี้กับวลีเด็ด คุกมีไว้ขังคนจน” ยิ่งจะเป็นตัวจุดเชื้อไฟของความไม่พอใจจากฝ่ายที่ชูประเด็นความเหลื่อมล้ำได้เป็นอย่างดี

หากแยกทั้งสองประเด็นออกมาจากกันถือว่าเป็นคนละเรื่อง แต่หากมองเหตุการณ์แล้วประเมินสถานการณ์ มันช่างบังเอิญอะไรกันขนาดนี้ เรื่องนี้เข้าใจว่าท่านผู้นำคงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่กำลังรับศึกอีกด้าน แต่จู่ ๆ ก็มีเรื่องร้อนที่ตัวเองไม่ได้มีอำนาจเกี่ยวข้องโผล่มาจุดกระแสความไม่พอใจได้อย่างรุนแรง ชัดเจนว่า งานนี้ถูกมองเป็นเรื่องการวางยาท่านผู้นำ แต่ใครกล้าทำเช่นนั้น แล้วองค์กรอย่างอัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะไม่เกรงใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเชียวหรือ

นี่คือการเมืองว่าด้วยเรื่องของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่จากปลายกระบอกปืน ทุกอย่างเมื่อท่านผู้นำประกาศว่าต้องอยู่ในระบบและเป็นไปตามกลไกของกฎหมาย กรณีของบอส กระทิงแดง ก็เกิดคำถามต่อการบังคับใช้กฎหมายเหมือนกัน เหตุใดมันถึงได้พลิกผันกันจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ขนาดนี้ คงไม่ยากยิ่งท่านผู้นำให้โฆษกรัฐบาลออกมาบอกแล้วว่า แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ ก็ต้องให้ฝ่ายอัยการนั่นแหละที่จะเป็นผู้ตรวจสอบและชี้แจงต่อสังคมเอง

อย่างไรก็ตาม คณะทำงานที่อัยการสูงสุดแต่งตั้งขึ้นมาให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ได้ประชุมกันนัดแรกไปแล้วเมื่อวานนี้ แม้จะเป็นวันหยุดแต่คงทานกระแสสังคมไม่ไหว ซึ่ง ประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะทำงานตรวจสอบกรณีดังกล่าว ชี้แจงต่อประเด็นที่สังคมเคลือบแคลงสงสัยอัยการว่ามีความเป็นกลางหรือไม่ โดยยืนยันว่าการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะหาข้อเท็จจริง รวมทั้งการสั่งคดี การทำงานของอัยการว่าเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

แต่ก็มีการออกตัวไว้ก่อนว่า ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าหากผลการตรวจสอบพบมีการทำงานบกพร่องจะลงโทษกับพนักงานอัยการผู้สั่งคดีหรือไม่ โดยขอให้คณะทำงานพิจารณาก่อน กระนั้นก็ตาม หากยึดหลักตามกฎหมายก็ชัดว่า คณะทำงานดังกล่าวน่าจะเป็นหนังหน้าไฟเพื่อหวังลดแรงปะทะของสังคมที่มีต่อองค์กรอัยการเท่านั้น เนื่องจากหากความเห็นสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด อัยการก็ไม่สามารถสั่งฟ้องคดีใหม่ได้ เว้นแต่มีพยานหลักฐานใหม่ในคดี หรือญาติของผู้เสียหายยื่นฟ้องคดีต่อศาลเอง ซึ่งเป็นคดีอาญาที่ไม่สามารถยอมความกันได้

สุดท้ายจึงขึ้นอยู่กับญาติของ ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ที่เสียชีวิตว่าจะลุกขึ้นมาปกป้อง เรียกร้องความชอบธรรมให้กับผู้ตายหรือไม่ เพราะหากยึดตามความเห็นสั่งไม่ฟ้องของอัยการ ก็เท่ากับว่าคดีที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของผู้ตายที่ขับขี่รถโดยประมาทแต่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่า จะส่งผลกระทบต่อสิทธิพึงมีพึงได้ของทายาทที่เคยได้รับจากผลแห่งคดีก่อนหน้านี้หรือไม่ ท้ายที่สุดในแง่กฎหมายไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม ใครทำชั่วอย่างไรเงินมากมายมหาศาลก็ไม่สามารถปกปิดความเลวได้

วกกลับไปที่ม็อบนักเรียน นิสิต นักศึกษา สิ่งที่หลายฝ่ายคอยย้ำเตือนมาตลอดคือ ข้อความของแนวร่วมที่ไปอยู่ในสถานที่ชุมนุมในแต่ละแห่ง ที่สุ่มเสี่ยงว่าก้าวล่วงละเมิดต่อสถาบันเบื้องสูง หากแกนนำไม่สนใจต่อความเป็นห่วงเหล่านั้น ประเด็นนี้ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนทำให้การก้าวเดินต่อไปของแฟลชม็อบอาจมีปัญหาได้ และจะกลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งรอบใหม่ ที่ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะบานปลายกลายเป็นเหตุสลดเหมือนในอดีตหรือไม่

ในทางการข่าวค่อนข้างชัดเจนว่า ในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้ จะมีกลุ่มนักเรียนอาชีวศึกษาออกมาเคลื่อนไหวในท่วงทำนองปกป้องสถาบัน ซึ่งหากจำเหตุการณ์ในอดีตได้นี่จะเหมือนเดจาวู อยู่ที่ว่ากระบวนการต่อสู้ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปนั้น จะนำพาไปสู่จุดจบแบบไหนเท่านั้นเอง สิ่งสำคัญอยู่ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่า ต้องการเห็นความขัดแย้ง แตกแยก และนำไปสู่การนองเลือดจนตัวเองได้ชื่อว่าเป็นผู้นำทรราชหรือไม่

ถ้ายึดตามแนวทางที่ตัวเองได้ประกาศไว้คือ รวมไทยสร้างชาติ ก็ต้องหาทางดับไฟที่กำลังโหมกระพือ ไม่ใช่ใช้วิธีการสาดน้ำมันเข้าไปในกองเพลิง จะว่าไปแล้ว 3 ข้อเรียกร้องของแฟลชม็อบก็ไม่ได้มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ หยุดคุกคามประชาชนถ้ารัฐบาลโดยหน่วยงานด้านความมั่นคงไม่ใช้กฎหมายโดยเฉพาะพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเล่นงานฝ่ายตรงข้ามก็เป็นบทพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่ง ส่วนการยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญ ก็ประกาศเสียให้ชัด ๆ ว่ากำลังทำและตั้งใจจริงที่จะนำไปสู่การแก้ไขไม่ให้เอื้อพวกหนึ่งพวกใด สุดท้ายคือ ท่านผู้นำกล้ากล้ามารับเรื่องจากตัวแทนม็อบด้วยตัวเองเสีย ทุกอย่างก็น่าจะแฮปปีแต่ยังไม่เอนดิ้ง

Back to top button