เคาะหุ้นพื้นฐานดี

SET Index ในช่วงนี้ยังคงมีโอกาสแกว่งตัวในรูปแบบไซด์เวย์ เนื่องจากมีทั้งปัจจัยบวกและลบ ขณะที่นักวิเคราะห์แนะลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดีเป็นหลัก


เส้นทางนักลงทุน

SET Index ในช่วงนี้ยังคงมีโอกาสแกว่งตัวในรูปแบบไซด์เวย์ เนื่องจากมีทั้งปัจจัยบวกและลบ โดยปัจจัยบวก คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืบหน้า ซึ่งใกล้บรรลุข้อตกลง และคำสั่งซื้อสินค้าภาคโรงงานเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นดี นอกจากนี้หุ้นกลุ่มพลังงานสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 69 เซนต์ ขณะที่ดัชนีความกังวลลดลงเป็น 23.8 จุด ขณะที่ทางด้านประเทศไทย ครม.ได้อนุมัติกู้เงิน ADB จำนวน 48 พันล้านบาท ดอกเบี้ยไม่สูง

ส่วนปัจจัยลบ คือ นักลงทุนไปสนใจทองคำที่วานนี้ราคามากกว่า 2 พันเหรียญครั้งแรกในประวัติศาสตร์, ไทยประกาศ GDP ไตรมาส 2 ที่คาดว่าจะย่ำแย่กลางเดือนนี้ เจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯ ซึ่งไม่สดใส ผลดังกล่าวสะท้อนต่อกลยุทธ์ระยะสั้น “เข้าไว-ออกไว เล่นรอบ” คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1,300-1,340 จุด

ด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและไทยยังย่ำแย่ ติดตามประกาศ GDP ในช่วงไตรมาส 2/2563 จากสภาพัฒน์ในวันที่ 17 ส.ค.นี้จะลงลึกเพียงใด ความเสี่ยงในการติดเชื้อรอบสองและการเมืองไทย แต่มีสัญญาณการฟื้นตัวหลังคลายล็อกดาวน์ วัคซีน-ยาคืบหน้า และไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว

ทั้งนี้จากปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น ทางบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส จึงแนะนำทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดี เช่นหุ้นดังต่อไปนี้

  • หุ้นพลังงานช่วงนี้ผันผวนแต่แนะนำซื้อ ได้แก่ PTT, PTTEP, TOP, BGRIM, GPSC, BCP
  • วัสดุก่อสร้างพื้นฐานดีแนะนำซื้อ ได้แก่ TASCO, DRT
  • หุ้นกลุ่มการแพทย์เข้าไฮซีซั่นแนะนำซื้อ ได้แก่ BCH, BDMS, CHG, RJH, RPH
  • หุ้น Defensive แนะนำซื้อ ได้แก่ ADVANC, DTAC, CPF, CHG, OSP
  • หุ้นปันผลสูงแนะนำซื้อ ได้แก่ KKP, TISCO, LH
  • หุ้นเติบโต-ฟื้นตัวดี แนะนำซื้อ ได้แก่ AP, MTC, PTL, TASCO, TU, STI 
  • ราคาเนื้อสัตว์ดีแนะนำซื้อ ได้แก่ CPF
  • ขนส่ง-กลับมาฟื้นตัวเร็วแนะนำซื้อ ได้แก่ BEM
  • หุ้นกลุ่ม REITs & IFFs ปันผลสูง ดอกเบี้ยในตลาดต่ำแนะนำซื้อ ได้แก่  DIF, AIMIRT, IMPACT

ในส่วนของหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดีล้วนมีจุดแข็ง ถึงอย่างไรก็ตามจากหุ้นทั้งหมดทางคอลัมน์ขอหยิบยกบางตัวโดยนำข้อมูลเข้ามาซัพพอร์ตเพิ่มเติม เพราะมองเป็นหุ้นเด่น !

อย่างเช่น บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เนื่องจากมีการประเมินว่าแนวโน้มในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 คาดปริมาณขายกระเตื้องขึ้นหลังผ่อนคลาย Lockdown และโรงกลั่นใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นได้…แต่จะไม่มาก เพราะอุปสงค์ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านต้นทุน บริษัทคาดว่าจะรักษา Unit cost ไว้ใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ปี 2563

ถึงอย่างไรทางนักวิเคราะห์ประเมินในเบื้องต้นว่าผลกำไรปกติงวดไตรมาส 3 ปี 2563 จะดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน

บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC มีการประเมินต่อกำไรปีนี้เติบโตสูงจาก 1. รับรู้โครงการของ GLOW เต็มปี 2. ราคาก๊าซลดลงเพิ่ม Margin 3. ไม่มีรายจ่ายเกี่ยวกับการซื้อ GLOW และ 4.ดอกเบี้ยจ่ายลดลง 25%

นอกจากนั้นประเมินว่าการเติบโตยังไปได้ดีในปี 2563-2564 อีกทั้งทางบริษัทจะมีข้อสรุปเข้าลงทุนโครงการไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ในต่างประเทศเพิ่มรายได้ในปี 2565 แนวโน้มการดำเนินยังแข็งแกร่ง

บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เนื่องจากมีปัจจัยหนุนผลประกอบการครึ่งหลังของปี 2563 คือ 1. รุกทำการตลาดในส่วนลูกค้า Modern Trade ให้มากขึ้น หลังจากแผ่วไปในช่วง Lockdown, 2. โฟกัสลูกค้าโครงการที่ยังเดินหน้าก่อสร้างและเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะบ้านแนวราบที่ขายดีขึ้นตาม New Normal, และ 3. คู่แข่งขันบางรายอ่อนแอลง

ที่สำคัญทางบริษัทมีความน่าสนใจเรื่องของการจ่ายปันผลเพราะ 1 ปีจะมีการจ่ายปันผล 2 ครั้ง โดยในปี 2563          คาดการณ์เงินปันผลระหว่างกาลไว้ที่ 0.20 บาท/หุ้น ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะจ่ายอีก 0.20 บาท/หุ้น รวมเป็นปันผลของปี 63F เท่ากับ 0.4 บาท คิดเป็น Yield 6.9% ซึ่งจูงใจมาก

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เนื่องจากมีการประเมินว่าแนวโน้มดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2563 หลังจากผ่อนคลาย Lockdown ทำให้จำนวนคนไข้ในประเทศเพิ่มขึ้น ความต้องการ Quarantine มากขึ้น ส่วนคนไข้ต่างชาติก็จะทยอยฟื้นตัวหลังไทยเริ่มทำ Travel bubble และคนไข้จากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา กัมพูชา ลาว) จะเข้ามามากขึ้น

ส่วนระยะยาวเติบโตได้ดี โดยมีปัจจัยหนุน จาก 1. สังคมสูงวัยที่จะใหญ่ขึ้น, 2. การเติบโตของ Medical Tourism, 3. คนไข้ประกันเติบโตได้ต่อเนื่อง และ 4. การจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น Ping Un Health เป็นต้น สำหรับธุรกิจ Wellness คลินิกและโฮเทล มี EBITDA loss ในปี 2562 ประมาณ 200 ล้านบาท ผู้บริหารคาดว่าธุรกิจนี้จะคุ้มทุนได้ในปี 2565

บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP มีการประเมินภาวะธุรกิจในครึ่งหลังปี 2563 ว่าจะมีภาพการฟื้นตัวดี เพราะการเพิ่มกำลังการผลิตที่ไทยจะแล้วเสร็จในเดือน มิ.ย. 2563 นี้ และทำให้กำลังการผลิตเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 10-15% ขณะที่กำลังการผลิตที่เมียนมาจะแล้วเสร็จตามมาในเดือน ก.ค. 2563 ข้อดีคือ คาดว่าจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นที่เมียนมาได้เป็นอย่างดี พร้อมกับมีการคาดปีนี้รายได้และกำไรจะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักได้

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เหตุยังมีปัจจัยบวกสำคัญคือ ราคาขายเนื้อหมูที่สูงในประเทศเวียดนามยังเป็นแรงสนับสนุนการเติบโตในระยะกลางได้เป็นอย่างดี  โดยมีการคาดว่าบริษัทจะยังมีกำไรเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส ปี 2563 ด้วยปัจจัยหนุนจากราคาเนื้อสัตว์ที่สูงขึ้นในประเทศและไฮซีซั่นของการส่งออกไก่เนื้อ

กรณีหุ้นตัวอย่างถือว่ายังมีปัจจัยสำคัญและน่าติดตาม ดังนั้นหาโอกาสทยอยรับ เพราะอย่างไรหุ้นดังกล่าวก็ถือเป็นหุ้นพื้นฐานดี !!!

Back to top button