พาราสาวะถี

วันพรุ่งนี้ ลุ้นกันม็อบกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จะมีจำนวนมากขนาดไหน ชัดเจนคือในส่วนของกำลังตำรวจเตรียมไว้ 9 พันนาย ดูแล 14 จุดทั่วกรุง เน้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สนามหลวง และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนฐานที่มั่นของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างทำเนียบรัฐบาลนั้น ไม่ต้องห่วง มีการวางกำลังรับมือกันแน่นหนาอยู่แล้ว ที่ยกเอาประเด็นผิดกฎหมายชุมนุมสาธารณะหากเข้าใกล้ทำเนียบฯ ในรัศมี 50 เมตรนั้น มันก็แค่คำขู่


อรชุน

วันพรุ่งนี้ ลุ้นกันม็อบกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม จะมีจำนวนมากขนาดไหน ชัดเจนคือในส่วนของกำลังตำรวจเตรียมไว้ 9 พันนาย ดูแล 14 จุดทั่วกรุง เน้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สนามหลวง และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนฐานที่มั่นของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอย่างทำเนียบรัฐบาลนั้น ไม่ต้องห่วง มีการวางกำลังรับมือกันแน่นหนาอยู่แล้ว ที่ยกเอาประเด็นผิดกฎหมายชุมนุมสาธารณะหากเข้าใกล้ทำเนียบฯ ในรัศมี 50 เมตรนั้น มันก็แค่คำขู่

โดยธรรมชาติไม่มีม็อบไหนที่เมื่อมีมวลชนมากแล้วเจ้าหน้าที่จะสามารถจัดการหรือห้ามไม่ให้ทำตามที่ประสงค์ได้ หรือจะมองว่านี่ไม่ใช่ม็อบมีเส้น ดังนั้น การจะไปบุกสถานที่ราชการชนิดมีคนเปิดประตูให้เหมือนพวกม็อบชัตดาวน์ประเทศ ไม่มีทางเป็นไปได้เป็นอันขาด คิดแบบนั้นได้ แต่ปัจจัยชี้ขาดมันอยู่ที่จำนวนคนและการกำหนดเป้าหมายของกลุ่มเคลื่อนไหว แต่ประเภทยึดทำเนียบฯ ยึดสนามบินนั้นคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

สำหรับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ความจริงเรื่องพื้นที่ประชาธิปไตยหรือเสรีภาพอะไรนั้น มันถูกทำลายย่อยยับไปนับตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โน่นแล้ว ยิ่งช่วงม็อบชัตดาวน์ยิ่งเห็นภาพชัด ความเสื่อมถอยถูกดำเนินการโดยผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอธิการบดีเสียเอง ซึ่งก็เดินตามก้นเผด็จการอย่างไม่อายฟ้าดิน หนนี้ก็เหมือนกัน เดิมทีดูเหมือนจะดี สุดท้าย ก็สยบยอมอยู่ใต้ฝ่าเท้าท็อปบูท ไม่ต้องไปถามหาจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ มันสูญสลายไปนานแล้ว

ในส่วนของน้อง ๆ คนรุ่นใหม่ที่ได้แสดงออกถึงการปกป้องและเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อประชาชน ก็เสมือนเป็นความเคลื่อนไหวในนามส่วนตัว ไม่ต้องให้ค่าให้ราคากับสถาบันที่ตัวเองสังกัด นี่คือความสามานย์ของอำนาจอีแอบที่ขยายแผ่ไปปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ของผู้ที่ได้ชื่อว่าข้าราชการและเลยเถิดไปถึงการทำให้องค์กรที่ตัวเองสังกัดแปดเปื้อน มัวหมองไปในตัวด้วย หากการเคลื่อนไหวรอบนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี คนเหล่านี้ก็จะได้ปูนบำเหน็จกันอย่างหนำใจ

ภาพของการปิดประตูพร้อมปิดเรียน เพื่อไม่ให้คนรุ่นใหม่เข้าไปในพื้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ วันนี้ สวนทางกับภาพของพวกหัวเกรียนที่เดินกันขวักไขว่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น มันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ถูกจารึกไว้ว่าเกียรติภูมิที่คนรุ่นก่อนได้ร่วมกันสร้างไว้นั้น ถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกที่ปากบอกว่าสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย แต่หัวใจฝักใฝ่เผด็จการโดยแท้ มันเป็นภาพที่น่าเศร้า และสะท้อนภาพความโสมมของคนที่ก้มหัวให้เผด็จการตลอดระยะเวลาความขัดแย้งที่ผ่านมา

ท่าทีของระดับนำกลุ่มจัดม็อบถึงนาทีนี้ ก็ยังยืนยันว่าจะพังประตูเข้าไปภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ได้ ก็ถือเป็นความท้าทาย หากเกิดขึ้นจริงก็ต้องดูว่าพวกหัวเกรียนที่อยู่ด้านในมหาวิทยาลัยนั้นจะจัดการกันอย่างไร ดูแลลูกหลานเหมือนลูกหลานของตัวเอง หรือจัดการโดยอ้างข้อกฎหมายสารพัด การสั่งให้พี่ใหญ่เป็นผู้ดูแลม็อบในครั้งนี้ ต้องดูกันว่าจะใช้ความนุ่มนวล ละมุนละม่อมอย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ ปลายทางของสถานการณ์น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ในส่วนของทำเนียบฯ นั้นได้มีการวางกฎคุมเข้มสำหรับสื่อมวลชนที่จะเข้าไปทำข่าว จะต้องเป็นนักข่าวที่มีบัตรสื่อประจำทำเนียบฯ เท่านั้น ไม่อนุญาตให้มีการแลกบัตรเพื่อเข้าไปภายในโดยเด็ดขาด ซึ่งนับตั้งแต่มีผู้บริหารที่เป็นผู้นำเผด็จการจนกระทั่งมาถึงการสืบทอดอำนาจนั้น น่าจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับสถานที่ทำงานของผู้นำประเทศ เพราะมีการวางกฎ กติกาและจัดเจ้าหน้าที่ดูแลคุมเข้มมาโดยตลอด ก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไรกันนักหนา

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า เดิมทีฝ่ายกองเชียร์เผด็จการสืบทอดอำนาจต่างคาดหมายกันว่า น่าจะมีมาตรการทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งมาจัดการกับแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหว ก่อนจะถึงวันที่ 19 กันยายนนี้ แต่นั่นมันก็เป็นเพียงความรู้สึก นึกคิดและเชื่อมั่นในพลังอำนาจของอำนาจสืบทอด ทว่าอีกด้านฝ่ายเคลื่อนไหวก็ได้ยาดีไม่น้อยเหมือนกัน มิเช่นนั้น คงไม่เกิดการปล่อยตัว อานนท์ นำภา และ ภานุพงศ์ จาดนอก ในวันหยุดโดยมีอธิบดีกรมราชทัณฑ์เดินทางมาปล่อยตัวด้วยตัวเองอย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่า หลังฉากอย่างที่เคยบอกไว้ บางเรื่องไม่สามารถที่จะนำมาเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ได้ มันเป็นเรื่องของแกนนำที่ต้องปิดทุกอย่างให้เงียบเชียบที่สุด ส่วนประเด็นเรื่องท่อน้ำเลี้ยงก็เป็นข้อกล่าวหาที่สามารถหยิบยกมาโจมตีเพื่อดิสเครดิตได้ ยิ่งส.ว.ลากตั้งบางรายที่ยกอักษรย่อมาพาดพิงพรรคการเมืองและนักการเมืองบางรายนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรจากผังล้มเจ้ากำมะลอในอดีต ที่สำคัญตัวละครที่ยกมากล่าวหานั้น สังคมรับรู้กันดีอยู่แล้ว

สิ่งสำคัญอยู่ที่หลักฐาน ไม่ใช่การกล่าวหาแบบเลื่อนลอย เหมือนอย่างที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ไปยื่นร้องให้ปปง.ตรวจสอบ 11 บุคคลที่คาดว่าจะเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ม็อบ สุดท้ายก็ต้องดูว่าจะมีอะไรเอาผิดหรือไม่ เกมการเมืองน้ำเน่ารูปแบบเดิมนั้น มันควรจะหมดไปได้แล้ว วันนี้ประชาชนไม่ว่าจะรุ่นไหน ต่างเรียนรู้และมีช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสารที่กว้างไกลและสอบทานความเป็นจริงได้อยู่ตลอดเวลา ปฏิบัติการณ์ข่าวสารและสงครามจิตวิทยาแบบเดิม ๆ มันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

ไม่ต่างอะไรกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่ล่าสุด ทำตัวเป็นแผ่นเสียงตกร่องเรียกร้องผู้ชุมนุมต้องมีจิตสำนึก ควรรู้อะไรควรไม่ควร สถานที่สำคัญ ดักคอรู้ดีคนเดิมชักใยเด็กชุมนุม พร้อมกับตั้งข้อคำถามหากรัฐบาลนี้ไม่อยู่ ใครจะทำและทำได้หรือไม่ หากเป็นก่อนหน้าคนอาจจะคล้อยตาม แต่กับเวลาที่ผ่านมาโดยไร้ประโยชน์กว่า 6 ปีที่ผ่านมานั้น อาจจะมีเสียงย้อนกลับไปในทิศทางเดียวกันว่า ให้ท่านรีบไปเถอะ คนที่จะเข้ามาทำมีอีกเยอะ และเชื่อว่าจะดีกว่าด้วย

เป็นการแสดงออกในการหวงอำนาจอย่างชัดเจน ความจริงคนที่ขอเวลาไม่นาน และป่าวประกาศว่าเราจะทำตามสัญญา สุดท้ายทำไม่ได้ทั้งสองอย่าง ไม่ควรที่จะมีหน้ามาพูดในทำนองนี้ เว้นเสียแต่จะเป็นพวกอย่างหนา ไม่รู้สึกรู้สาว่าอะไรบ้างที่ตัวเองไม่ได้ทำอย่างที่โพนทะนาไว้ หยิบยกสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าดีแค่หยิบมือมาตีกิน การไม่ยอมรับความจริงและหลงตัวเองนี่แหละ คือจุดเริ่มต้นความเสื่อมของผู้นำทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะผู้นำเผด็จการ

Back to top button