หุ้นต่ำ 10 บ. (P/E ต่ำ-Yield สูง)

หากพูดถึงหุ้นยอดนิยมสำหรับนักลงทุนรายย่อยก็คงหนีไม่พ้นหุ้นที่มีราคาไม่สูง โดยเฉพาะหุ้นต่ำ 10 บาท ที่มักเห็นปริมาณการซื้อขายเข้ามาหนาแน่นเป็นระยะๆ


เส้นทางนักลงทุน

หากพูดถึงหุ้นยอดนิยมสำหรับนักลงทุนรายย่อยก็คงหนีไม่พ้นหุ้นที่มีราคาไม่สูง โดยเฉพาะหุ้นต่ำ 10 บาท ที่มักเห็นปริมาณการซื้อขายเข้ามาหนาแน่นเป็นระยะๆ เพราะหุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่มักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการตัดสินใจซื้อขายเป็นตัวช่วย นอกเหนือจากปัจจัยบวกเฉพาะเจาะจงเข้ามาสนับสนุน

ดังนั้นการเฟ้นหาหุ้นต่ำ 10 บาทก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก เพราะสามารถลงทุนในระยะสั้น (เทรดดิ้ง) และยังสามารถลงทุนในระยะยาว (VI) ได้ !! ขึ้นอยู่กับช่วงสถานการณ์การลงทุน รวมถึงขึ้นอยู่กับหุ้นตัวนั้น ๆ

ทั้งนี้ทางหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจจึงทำการร่อนตะแกรงหาหุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาทที่อยู่ในกลุ่ม SET100 พบว่ามีหุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาทหลายตัว

ทว่าอยากให้ภาพแคบลงและมีความกระชับมากขึ้น จึงได้นำเสนอจากข้อมูล ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 โดยพิจารณาจากเงื่อนไขที่ว่า เป็นหุ้นราคาต่ำกว่า 10 บาท ประกอบกับค่า P/E ต่ำกว่า 12 เท่า และอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) 4%ขึ้นไป

จากเงื่อนไข พบว่ามีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ 11 ตัว อาทิ SIRI, QH, GUNKUL, WHAUP, TPIPP, AP, ORI, LH, SGP และ KTB เป็นต้น

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 0.66 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 4.92 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 11.36%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานมีการประเมินว่าผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2563 คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เพราะอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจากการทำโปรโมชั่นน้อยลง และมีคอนโดมิเนียมแล้วเสร็จพร้อมโอนด้วย

บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 2.22 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 9.81 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 9.26%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสถานะการเงินแข็งแกร่งและมีการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างคอนโดมิเนียมและแนวราบ เนื่องจากมีอัพไซด์จากความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 2.28 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 9.17 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 5.91%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานแนวโน้มผลประกอบการ GUNKUL คาดว่ากำลังการผลิตใหม่จากการ M&A จะมาหนุนกำไรปกติในไตรมาส 4/2563 ให้กลับมาโดดเด่นได้อีกครั้ง หลังจากจะขายเงินลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นขนาด 69.83 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมีกำไรพิเศษ 715 ล้านบาทรับรู้ในไตรมาส 3/2563 ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3/2563 จะเติบโตสูงทั้งจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน

อีกทั้งในไตรมาส 4/2563 คาดว่าผลงานจะเติบโตสูงจากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะมีกำลังการผลิตใหม่ในเวียดนามเพิ่งเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2563 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซียขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 39 เมกะวัตต์จะเริ่ม COD เต็มไตรมาสในไตรมาส 4/2563 (ถือหุ้น 70%) และจะรับรู้รายได้งานรับเหมาก่อสร้าง (EPC) ค่อนข้างมากในไตรมาส 4/2563 ปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท

บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 3.70 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 11.82 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 6.72%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานคาดผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปีนี้จะเติบโตจากครึ่งปีแรก เนื่องจากธุรกิจน้ำมีปริมาณการกักเก็บน้ำโดยรวมปรับตัวดีขึ้น ทำให้เชื่อว่าได้ผ่านวิกฤติภัยแล้งไปแล้ว รวมถึงลูกค้าเดิม ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่กลุ่มปิโตรเคมีที่ภาครัฐขอให้ลดการใช้น้ำในอุตสาหกรรมลงในช่วงที่ผ่านมาก็คาดว่าจะกลับมาดำเนินการตามปกติ ประกอบกับมีลูกค้ารายใหม่เข้ามา ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ปริมาณการขายน้ำในครึ่งปีหลังปรับตัวเพิ่มขึ้น จากครึ่งปีแรกที่มีปริมาณการขายน้ำอยู่ที่ 57 ล้านลูกบาศก์เมตร

บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 4.18 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 7.82 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 9.52%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานยังมั่นใจผลประกอบการปีนี้เติบโตกว่าปีก่อน โดยแนวโน้มครึ่งหลังปี 2563 ดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เพราะปัญหาสายส่งไฟฟ้าในไตรมาส 1/2563 ได้รับการแก้ไขแล้ว ปริมาณขายไฟฟ้าให้แก่ TPIPL สูงขึ้น หลังโรงงานปูนซีเมนต์ผ่านการปิดซ่อมบำรุงมาแล้ว และประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าดีขึ้นจากการลงทุน Boiler

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 5.65 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 5.24 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 7.21%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมปีนี้ทรงตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อนระดับ 3.35 หมื่นล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 4/2563 มีแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่อีกกว่า 12 โครงการ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่ามีการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง ทำให้คาดว่ายอดขายจะบรรลุเป้าทั้งปีได้ไม่ยาก โดยการเติบโตของยอดขายแนวราบสามารถชดเชยคอนโดมิเนียมที่อ่อนแอได้หมด

นอกจากนี้ ท่ามกลางตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัวหลังสถานการณ์ COVID-19 และดีกว่าที่เคยประเมิน บวกกับเริ่มเห็นผู้ประกอบการหลายรายนำโครงการคอนโดมิเนียมที่ถูกเลื่อนไปกลับมาเปิด ซึ่งได้รับผลตอบรับที่น่าพอใจ จึงทำให้มองว่า AP มีโอกาสเปิดคอนโดมิเนียมภายในปีนี้เพิ่มเติมจากแผนได้ โดยมีที่ดินพร้อมพัฒนาในมืออยู่แล้ว ซึ่งจะเป็น Upside ต่อเป้ายอดขายทั้งปี

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 6.50 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 5.55 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 7.61%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานในช่วงครึ่งปีหลังปี 2563 แบรนด์ไนท์บริดจ์ยังคงเดินหน้าธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนโครงการสร้างเสร็จใหม่ และโครงการเปิดตัวใหม่ โดยบริษัทเตรียมจะเปิดตัวโครงการระดับบนเพิ่มเติม คือ ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 4 มูลค่า 2.3 พันล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท จีเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น คอร์ปอเรชั่น (GS E&C) บริษัทยักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกของเกาหลีใต้ จะเริ่มเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนตุลาคมนี้

บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 7 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 9.08 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 10.14%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานคาดโมเมนตัมที่แข็งแกร่งนี้จะดำเนินต่อไปในครึ่งปีหลัง เนื่องจากมีการเปิดตัวใหม่ ๆ มากขึ้น โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 แห่งที่สร้างเสร็จแล้ว รวมมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาทจะเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้สำคัญในปี 2564-2565

บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 8.65 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 11.24 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4.05%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานแย้มครึ่งหลังปี 2563 ฟอร์มสวย รับไฮซีซั่นหนุน ประเมินปริมาณการขาย LPG ในช่วงไตรมาส 3/2563 และไตรมาส 4/2563 จะเติบโตได้ดีกว่าไตรมาสก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการคลายล็อกดาวน์ประเทศทำให้คนสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้แล้ว สนับสนุนยอดขายโต 5% ได้ตามแผน พร้อมเดินหน้าขยายตลาดลูกค้าถังก๊าซ LPG ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายหลังซื้อเงินลงทุนในหุ้น บจ.ชื่นศิริ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตทั้งก๊าซ LPG ที่มีฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เล็งสามารถลดต้นทุนการผลิตถังก๊าซ LPG ได้

ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB โดยราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 23 กันยายน 2563 อยู่ที่ 8.95 บาท ทางด้านค่า P/E ที่ 5.26 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 8.32%

ส่วนด้านปัจจัยพื้นฐานคาดผลดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2563 จะฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก โดยมีประเด็นบวกจาก 1) การตั้งสำรองที่จะผ่อนคลายลง เนื่องจากในครึ่งแรกของปี 2563 บริษัทได้ตั้งสำรองพิเศษเพื่อรองรับการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท การบินไทย ไปทั้งหมดแล้ว รวมถึงมีการตั้งสำรองเผื่อกรณีของคุณภาพสินทรัพย์ที่จะแย่ลงในช่วงที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยตั้งเป้า Credit Cost ทั้งปีที่ 1.25-1.30% ลดลงจากครึ่งแรกของปี 2563 ที่ 2.1% ขณะที่ NPL คาดยังทรงตัวจากครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทใช้นโยบายปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกจัดการกับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง 2) Non-NII มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องหลังปลดล็อกดาวน์ ทำให้คาดค่าธรรมเนียมจากธุรกิจกองทุนรวมและธุรกิจประกันดีขึ้น

นี่คือการดูหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท ที่ยังคงมี P/E ต่ำและถือว่าราคายังไม่แพง พร้อมกับมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนสูง มิหนำซ้ำยังมีคุณภาพในการเติบโตในอนาคต !!!

Back to top button