จัดธีมลงทุนก่อนปิดงบ Q3 โบรกฯเน้นเคาะหุ้น Laggard-Defensive-ยีลด์สูงเกิน 4%

จัดธีมลงทุนก่อนปิดงบ Q3 โบรกฯเน้นเคาะหุ้น Laggard-Defensive-ยีลด์สูงเกิน 4%


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนมานำเสนอในช่วงก่อนปิดงบไตรมาส 3/2563 โดยเป็นการรวบรวมบทวิเคราะห์จากโบรกฯเกอร์ชั้นนำของไทย อาทิ บล.ทิสโก้,บล.เอเชีย เวลท์ และบล.เอเซีย พลัส ซึ่งระบุเอาไว้ดังนี้

 

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทเคราะห์ว่า การเปลี่ยน Series Futures, Window Dressing , และการเปิด Short Sell เป็นเหตุการณ์ที่มักเกิดขึ้นในช่วงท้ายก่อนสิ้นไตรมาสเสมอและมีผลต่อตลาดฯดังนี้ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนในวันนี้(29 ก.ย.)จะส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวนมาก โดยเกิดจากการ Rollover Future ที่กำหลังจะหมดอายุ ในก่อนทำการสุดท้าย 1 วัน ก่อนสิ้นไตรมาส และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในปีนี้ที่มีการ rollover มาแล้ว 2 ครั้ง พบว่า วันนั้นตลาดผันผวนมาก โดยแกว่งตัวลดลงไปลึกถึง 20-30 จุด แต่มีการฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงท้ายของตลาด

ดังนั้นการทำ Window Dressing ในช่วงสิ้นไตรมาส 3 น่าจะไม่ค่อยมีนัยฯ ต่อ ตลาดมากนัก เนื่องจากปกติแล้วการทการทำ Window Dressing ของกองทุนมักขะเกิดขึ้นในช่วงสิ้นไตรมาส 4 และ 2 เป็นหลัก สะท้อนจากสถิติในอดีตย้อยหลัง 10 ปี ที่นักลงทุนสถาบันฯ มักซื้อสุทธิเฉลี่ยในเดือนธ.ค.และมิ.ย.มากที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ

ขณะที่เดือนก.ย.ต่างชาติซื้อสุทธิน้อยมาก(เป็นเดือนที่ซื้อสุทธิเฉลี่ยน้อยสุดเป็นอันดับ3) และเดือนมี.ค.เป็นเดือนที่สถาบันฯมักจะขายสุทธิด้วยซ้ำ(เป็นเดือนซื้อสุทธิน้อยสุดเป็นอันดับ 2) สรุปคือการทำ Window Dressing ในช่วงก่อนสิ้นไตรมาส 1 และสิ้นไตรมาส 3 ไม่ค่อยมีน้ำหนักต่อตลาดมากนัก ดังนั้นกลยุทธ์ในการลงทุนจำเป็นต้องพิถีพิถันในการเลือกหุ้น โดยแนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง MCS, STGT และ MTC เป็น Top picks

 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งซึมลง ขณะที่มูลค่าซื้อขายถดถอยลงเรื่อย ๆ จึงเชื่อว่าจะเห็นการโยกเม็ดเงินเวียนกลุ่มลงทุนไปเรื่อย ๆ โดยยังคงมุมมองโซนดัชนีหุ้นไทยที่บริเวณ 1,250-1,280 จุด เป็นระดับที่น่าทยอยซื้อสะสม “เพื่อการลงทุน”

ขณะที่มีความเป็นไปได้น้อยที่ดัชนีหุ้นไทยจะหลุดต่ำกว่า 1,250 จุดลงมาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,200 จุดต้น ๆ ยกเว้นการชุมนุมทางการเมืองมีความรุนแรงจนถึงขั้นนองเลือด และ/หรือเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19รอบ 2 ภายในประเทศ จนทำให้รัฐบาลต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง

สำหรับดัชนีบริเวณ 1,250-1,280 จุด เป็นระดับที่น่าทยอยซื้อสะสมนั้น อิงจาก 1. ระดับค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน (12 m Fwd. PER) ที่ปัจจุบันขยับขึ้นมาอยู่ที่ 16-17 เท่า จากเดิมประมาณ 15-16 เท่าในช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งจะได้ดัชนีที่เหมาะสมในช่วง 3 เดือนข้างหน้า หรือในไตรมาส 4/63 ที่ 1,221-1,297 จุด และควรจะอยู่สูงกว่าระดับ 1,300 จุดขึ้นไปในช่วงไตรมาส 1/64 และ 2. การพักตัวทางเทคนิคตามหลัก “Fibonacci Retracement”  ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยกำลังมีแนวโน้มพักตัวที่ 38.2% หรือคิดเป็นระดับดัชนีที่ที่ 1,269 จุด

ขณะเดียวกันการเมืองในต่างประเทศก็มีแนวโน้มดุเดือดมากขึ้น ทั้งการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สถานการณ์ตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน และความไม่แน่นอนของผลการเจรจาการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า

นอกจากนี้ความผันผวนของราคาน้ำมันล่าสุดในช่วงต้นเดือนนี้ นอกจากจะกดดันราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีแล้ว ยังกดดันความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยด้วย และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจซ้ำเติมให้การหั่นประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยยังไม่สิ้นสุดลง อิงจากการศึกษาความสัมพันธ์ในอดีตพบว่า ทุก ๆ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ที่เปลี่ยนแปลง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล จะมีผลให้ดัชนีหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกันประมาณ 10 จุด และภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกว่า 2,800 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (SET EPS) ที่ประมาณ 30 สตางค์ต่อหุ้น

สำหรับหุ้นที่น่าสะสม “เพื่อการลงทุน” จะเน้นหุ้นที่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นน้อยกว่าตลาด (Laggard) แต่แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวขึ้น หุ้นเด่นที่ชอบ คือ  AEONTS, BAM, BDMS, BEM, CPALL, KTC, MTC และ WHA และทยอยเก็บหุ้นปันผลที่คาดจะให้อัตราเงินปันผล (Div. Yield) เฉลี่ยมากกว่า 4% ต่อปี แนะนำ DCC, EASTW, INTUCH, LH, QH, NYT, PROSPECT, RATCH และ TVO (หมายเหตุ : PROSPECT กลุ่มทิสโก้เป็นที่ปรึกษาการเงินและผู้จัดจำหน่าย)

ประเด็นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้น ได้แก่ 1. หุ้นรับอานิสงส์ข่าววัคซีนและการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบพิเศษ (STV) ได้แก่  AOT, BDMS, CENTEL และ SPA 2. หุ้นเก็งประเด็น Window Dressing – BCH, BGRIM, BJC, CBG, EPG, GULF และ ORI  และ 3. หุ้นที่ประเมินเบื้องต้นว่างบไตรมาส 3/63 จะออกมาดีทั้ง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้า BGC, DELTA, KCE, KTC, MTC, PRM และ SYNEX

 

บล.เอเชีย เวลท์ ระบุว่า ภาพรวมการลงทุนคาดว่า SET ยังมีโอกาสผันผวน แม้จะมีปัจจัยบวกจาก ความเป็นไปได้ที่เพิ่มขึ้นต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ วงเงิน 2.4 ล้านล้านเหรียญ แต่ยังต้องติดตามรายละเอียดในการประชุมร่วมกันระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวอีกครั้ง

รวมไปถึงการคาดหมายต่อการทำ Window Dressing ก่อนปิดงบไตรมาส 3/63 ทำให้ตลาดกลับมาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่มองเป็นปัจจัยบวกระยะสั้นเท่านั้น การฟื้นตัวของ SET ทำ ให้ Upside ในสัปดาห์เริ่มจำกัด จากกรอบ SET Index สัปดาห์นี้ ที่ประเมินไว้ที่ 1,226-1,279 จุด ทำให้ยังคงกลยุทธ์การลงทุนเช่นเดิม เน้นถือเงินสดมากกว่า 50% และเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่ม Laggard play หุ้นในกลุ่ม Defensive Stock (Dividend Stock) และหุ้นในกลุ่ม DCA ตาม Theme Investment

1.หุ้น Laggard (ซื้อขายระยะสั้น 1 เดือน) เลือก BAM BDMS BEM CPALL MTC และ WHA

2.ได้ประโยชน์จากการพัฒนาวัคซีน และมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ (ซื้อขายระยะสั้น 1-3 เดือน) เลือก AOT AAV BA ERW M CRC CENTEL MINT WHA และ AMATA

3.ได้ประโยชน์ตามฤดูกาล (ซื้อขายระยะสั้น 1-2 เดือน) เราเลือก BGRIM CKP และ GPSC

3.ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (เทรดระยะสั้น 1-3 เดือน) เลือก CPALL CRC HMPRO BJC OSP CBG MTC CK BEM SEAFCO PYLON COM7 และ WHA

4.Dividend Play (ซื้อขายระยะกลาง 6-12 เดือน) เราเลือก KKP TISCO QH LH SC ORI NOBLE DIF INTUCH HANA SCCC EASTW และ TTW

5.หุ้นสะสมระยะยาว (DCA) (ซื้อขายระยะยาว มากกว่า 1 ปี) เลือก ADVANC AOT BDMS BEM CPALL DIF และ PTT

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button