พาราสาวะถี

ใครจะกล้าปฏิเสธสิ่งที่ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ จากภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ชวนให้คิดหรือไม่ว่า สังคมไทยในเวลานี้กำลังเดินมาถึงจุดที่ “ไม่อาจจะหวนคืนกลับได้” ปรากฏการณ์ของม็อบดาวกระจาย วิธีการสื่อสารเพื่อใช้นัดหมายและการสื่อสารในระหว่างการชุมนุม รวมไปถึงกระบวนการบริหารจัดการในการชุมนุม หากคนที่ได้เข้าไปร่วมสัมผัสจะรับรู้ได้ว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


อรชุน

ใครจะกล้าปฏิเสธสิ่งที่ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ จากภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชี้ชวนให้คิดหรือไม่ว่า สังคมไทยในเวลานี้กำลังเดินมาถึงจุดที่ “ไม่อาจจะหวนคืนกลับได้” ปรากฏการณ์ของม็อบดาวกระจาย วิธีการสื่อสารเพื่อใช้นัดหมายและการสื่อสารในระหว่างการชุมนุม รวมไปถึงกระบวนการบริหารจัดการในการชุมนุม หากคนที่ได้เข้าไปร่วมสัมผัสจะรับรู้ได้ว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฝ่ายความมั่นคงซึ่งเผชิญกับม็อบทางการเมืองมาในรอบกว่า 10 ปีนี้ จึงคิดว่าวิธีการที่เคยใช้กับม็อบระบอบสนธิ-จำลอง การจัดการกับคนเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งม็อบเส้นใหญ่อย่างกปปส.คือสูตรสำเร็จ ซึ่งก็ได้เห็นแล้วหลังการล้อมปราบด้วยรถฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมี เป้าหมายคือทำให้คนกลัวแล้วเลิกไปเอง อย่างที่ปรากฏผลเป็นอย่างไร กลายเป็นเหมือนการรดน้ำให้ต้นไม้เจริญเติบโต แตกกิ่งก้านสาขาไปเสียฉิบ

อย่างไรก็ตาม ในมุมของอรรถจักร์ยังได้วิพากษ์ต้นตอของปัญหาที่ทำให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาต้องออกมาเคลื่อนไหวได้อย่างน่าสนใจมากทีเดียว ฐานะนักประวัติศาสตร์เจ้าตัวชี้ว่าลึกลงไปในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของเด็กนักเรียนและนักศึกษาที่ได้ชุมนุมประท้วง ก็คือ ความจงรักต่อ “จริยธรรมทางสังคม” ที่พวกคุณซึ่งเป็นชนชั้นนำทั้งหลายได้พร่ำสอนมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวผัวเดียวเมียเดียว ความไม่คดโกง ความซื่อสัตย์สุจริต ความเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม

ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาสิ่งที่เป็นทรัพย์สินของส่วนรวมมาเป็นของตนเองอย่างปราศจากความละอาย เหล่านี้คือความดี ทุกอย่างที่พวกคุณอยากให้พวกเขายึดถือเป็นสรณะในการใช้ชีวิต พวกเขาได้เป็นอย่างที่พวกคุณต้องการแล้ว พวกเขาจึงพากันต่อต้านโครงสร้างหรือระบบ ที่เปิดโอกาสให้บุคคลใช้อำนาจในทางที่ผิดหลักจริยธรรมเหล่านี้ และเรียกร้องให้ปฏิรูปให้โครงสร้างหรือระบบดีขึ้น ประเด็นการเรียกร้องทุกประการของนักเรียนนักศึกษาสัมพันธ์อยู่กับจริยธรรมทางสังคม

เป็นความสัมพันธ์ที่จะผูกคนทุกคนให้อยู่ในสังคมร่วมกันอย่างราบรื่น โดยที่จะยึดโยงผู้มีอำนาจทุกกลุ่มให้เข้ากับระเบียบใหม่ที่ดีกว่าเดิม เพื่อทำให้อำนาจกระจายออกไปสู่คนทุกกลุ่มอย่างเสมอหน้าและเสมอภาค สามารถกำกับตรวจสอบและถ่วงดุลกันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ปล่อยให้คณะบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเถลิงอำนาจและผูกขาดอำนาจตัดสินใจในการใช้สมบัติส่วนกลาง กลุ่มชนชั้นนำได้ทรยศต่อจริยธรรมของสังคม ที่พวกเขาเองปลูกฝัง

ดังนั้น การใช้ความรุนแรงปราบปรามนักเรียนและนักศึกษาที่ต่อสู้เพื่อให้จริยธรรมเหล่านี้กลับคืนมาเป็นหลักการร่วมกันของทุกคนในสังคม จึงเป็นการใช้กลไกอำนาจที่สร้างความรุนแรงอย่างไร้ยางอาย ทั้งที่กลุ่มชนชั้นนำทั้งหลาย อำนาจของตัวเองขึ้นตรงต่อความชอบธรรมและความชอบธรรมนั้นขึ้นตรงต่อระบอบจริยธรรมทางสังคมที่พวกตัวเองสร้างขึ้นมาจากน้ำลาย แต่กลับไม่คิดแม้แต่จะระลึกถึงมันบ้าง การใช้ความรุนแรงกับนักเรียนนักศึกษา จึงเป็นการลบและล้างจริยธรรมที่ชนชั้นนำได้สร้างด้วยความรุนแรง

สิ่งที่อรรถจักร์ตอกย้ำคือ น้ำตาที่หลั่งไหลของผู้คนจำนวนมากในสังคมไทยไม่ใช่เพียงแต่ความเจ็บปวด คับแค้น จากความรุนแรงที่เกิดแก่นักเรียนนักศึกษาและประชาชนที่มาชุมนุมในค่ำคืนวันที่ 16 ตุลาคมเท่านั้น แต่มันคือความรู้สึกเจ็บลึกกับการทรยศอย่างหน้าด้านไร้ยางอายของคนชนชั้นนำ เพราะคนเหล่านั้นกำลังทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่บรรพบุรุษของเราทั้งหมดได้ร่วมกันสร้างขึ้นมา ต้องพังทลายลงไปอย่างสิ้นเชิง

ในวันนี้ พวกคุณคิดเพียงแค่การใช้อำนาจดิบ แต่ประวัติศาสตร์การมีอำนาจของชนชั้นนำที่ผ่านมา ไม่เคยให้เวลาของความรุนแรงนานนัก อำนาจดิบของความรุนแรงไม่เคยครองชาติได้ การทำให้ชาติเป็นสมบัติร่วมของทุกคน และทำให้ระเบียบใหม่ที่จะจรรโลงจริยธรรมทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไพศาลแล้ว ย่อมเป็นหนทางเดียวและเป็นหนทางที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ที่จะรักษาชาติไว้ได้

น่าคิดอยู่ไม่น้อยวิกฤติที่เกิดขึ้น บนความพยายามที่จะทำลายความชอบธรรมและข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยที่ขับเน้นไปในเรื่องประเด็นอันอ่อนไหว ทั้ง ๆ ที่หัวใจสำคัญหลักของเงื่อนไขที่ผู้ชุมนุมต้องการก็คือให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลาออกไป และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นผลพวงมาจากเผด็จการคสช. ซึ่งกรณีขององคาพยพสืบทอดอำนาจจะออกมาปกป้องสิ่งที่พรรคพวกตัวเองวางแผนและดำเนินการมาตั้งแต่ต้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่กรณีของฝ่ายการเมืองที่เข้าไปมีอำนาจภายหลังการเลือกตั้ง ตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้ มวลชนที่สนับสนุนต้องเรียนรู้และชั่งใจว่าตัวแทนของตัวเองที่เลือกไปนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าไปสร้างการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ฟังเสียงของประชาชนและขจัดในสิ่งต่าง ๆ ที่เผด็จการสร้างขึ้นมา หรือแค่ขอให้ตัวเองได้มีตำแหน่งแห่งหนทางการเมือง ฉกฉวยผลประโยชน์และสร้างโอกาสกอบโกยทางการเมืองเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ก็ต้องช่วยกันกำจัดให้พ้นไปเสียจากเส้นทางการเมือง

บางพรรคการเมืองนั้นไม่ต้องอ้าปากก็เห็นไปถึงตับไตไส้พุงกันแล้ว อย่างไรก็เสีย ประชาชนก็มาทีหลังและก็จะตั้งการ์ด อ้างสารพัดเพื่อปกป้องตัวเอง ส่วนบางพรรคก็สร้างวาทกรรมตามสไตล์เพื่อหวังให้คนคล้อยตามว่าพรรคของตัวเองมีอุดมการณ์ ยึดกุมหลักการ แต่การที่สมคบคิดกับขบวนการสืบทอดอำนาจเบี้ยวไม่ยอมรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมายื้อเวลาออกไป ก็เป็นบทพิสูจน์ความจริงใจได้เป็นอย่างดีว่ามีหรือไม่ ดังนั้น บนความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ พวกที่ทำตัวเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีน่าจะได้รับบทเรียนกันถ้วนหน้า

Back to top button