จัดธีมเด่นเน้น 24 หุ้นรับปัจจัยบวกนโยบายรัฐฯ พร้อมเลี่ยง 3 กลุ่มหลักปัจจัยเสี่ยงสูง!

จัดธีมเด่นเน้น 24 หุ้นรับปัจจัยบวกนโยบายรัฐฯ พร้อมเลี่ยง 3 กลุ่มหลักปัจจัยเสี่ยงสูง!


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในภาวะตลาดหุ้นไทย โดยนักวิเคราะห์แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักไปยังหุ้นที่ได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของฝั่งรัฐบาล ได้แก่ หุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการ ช้อปดีมีคืน และ หุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการ Social distancing

ขณะที่แนะนำเลี่ยงการลงทุนในหุ้น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มน้ำมัน และกลุ่ม High yield asset บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ (29 ต.ค.2563) โดย ยังคงประเมินว่า SET กำลังอยู่ในช่วงช่วงของการสร้างฐานที่บริเวณ 1,200 จุด ซึ่งเป็นโซนที่กล่าวมาตลอดว่าในแง่ของ Valuation นั้นเริ่มที่จะมี Downside ที่จำกัดแล้ว ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ เรามองว่า ณ ปัจจุบันนี้ จำเป็นต้องมีหุ้นที่ถือครองอยู่ในพอร์ตบ้างแล้ว โดยเฉพาะหุ้นที่คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการในไตรมาส 4 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 อย่างชัดเจน ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของนักลงทุนในตลาดในช่วงถัดไป ทั้งนี้ ยังคงแนะนำกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

1) กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ที่ 6 ตัวมีปัจจัยบวกรองรับเฉพาะตัว ได้แก่ SCC, DELTA, CPF, HMPRO, STGT, BAM

2) หุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการ ช้อปดีมีคืน ซึ่งแบ่งออกเป็น

2.1) กลุ่มHome improvement(HMPRO,GLOBAL, DOHOME)

2.2) กลุ่มสินค้าไอที (COM7, SPVI, CPW, JMART, SYNEX, BIG)

2.3) กลุ่มแฟชั่น (CRC, MC, SABINA)

2.4) กลุ่มบัตรเครดิตที่ได้อานิสงส์จากการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น (KTC, AEONTS)

3) หุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการ Social distancing ได้แก่

3.1) อาหารทะเลกระป๋อง/แปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ได้แก่ ASIAN

3.2) เครื่องปรุงรส จำพวกซอสต่างๆ ได้แก่ XO

3.3) ฟิล์มที่ใช้ผลิตสินค้าจำพวกบรรจุภัณฑ์อาหาร ได้แก่ PTL

3.4) ถุงมือยางที่ใช้ในบริการสาธารณสุข ได้แก่ STGT

ส่วนกลุ่มที่แนะนำ หลีกเลี่ยง ในช่วงนี้ยังคงได้แก่

1) กลุ่มท่องเที่ยว ทั้ง สนามบิน สายการบิน โรงแรม และโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการจำกัดการเดินทางทั่วโลก และการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยที่ดูเหมือนจะยังคงเป็นไปได้ยากในระยะอันใกล้นี้ อาทิ AOT, AAV, BA, AWC, CENTEL, ERW, MINT, BH, BDMS

2) กลุ่ม Oil & Gas ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง หลังอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมต่างๆยังคงถูกจำกัดจากการเดินทางสัญจรต่างๆที่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยแบ่งเป็น

2.1) ธุรกิจ E&P จากความเป็นไปได้ที่ซาอุฯจะให้ส่วนลดราคาน้ำมันดิบไปยังภูมิภาคอื่นๆต่อไป (PTTEP, PTT)

2.2) ธุรกิจโรงกลั่น ที่อุปสงค์ปลายทางยังคงถูกกดดัน และน่าจะทำให้ GRM ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อไป (TOP, SPRC, BCP, ESSO)

3) กลุ่ม High yield asset เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงที่ Bond yield ปรับตัวขึ้นหากเกิดกรณี Blue wave จากการเลือกตั้งสหรัฐฯในช่วงต้นเดือนหน้านี้ (จาก Supply ของ Bond ที่ออกมาเพิ่มขึ้น) ซึ่งจะทำให้ความน่าสนใจของสินทรัพย์เหล่านี้ลดลง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่ม Property fund / REIT/ IFF รวมถึง Utilities / ICT / PROP ต่างๆ

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

 

Back to top button