5 อันดับแรก SET50-SET100 กำไร Q3 โตสุดแกร่ง! สวนโควิด-19

5 อันดับแรก SET50-SET100 กำไร Q3 โตสุดแกร่ง! สวนโควิด-19


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ในไตรมาส 3/2563 มานำเสนอนักลงทุน เพื่อให้เห็นความสามารถในการทำกำไรอย่างแข็งแกร่งในช่วงดังกล่าวมากขึ้น เนื่องจากช่วงดังกล่าวธุรกิจส่วนใหญ่เผชิญปัจจัยลบทั้งภาวะสงครามการค้าจีน-สหรัฐ รวมทั้งการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก

โดยครั้งนี้ทำการสำรวจเฉพาะกลุ่มหุ้น SET50 และ SET100 ที่ทำผลงานในไตรมาส 3/2563 เติบโตสูงสุดในกลุ่มมานำเสนอ โดยหุ้น SET50 ที่ทำกำไรเติบโตโดเด่น 5 อันดับแรกประกอบด้วย GPSC,SCC,TU,CBG และ TTW  ดังตารางประกอบ

อันดับ 1 คือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,681 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 188% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 893 ล้านบาท

โดยการเติบโตในช่วงไตรมาส 3/2563 มาจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่าปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมจะลดลงก็ตาม ส่วนกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และอื่น ๆ เพิ่มขึ้น จากการรับรู้รายได้ของบริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิล เพาเวอร์ จำกัด (GRP) ภายหลังการเข้าซื้อกิจการเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563

อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริการและอื่น ๆ ลดลง สาเหตุหลักจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงหลังจากการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น สำหรับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น โดยส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีเพิ่มขึ้น หลังจากได้ดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563

ขณะเดียวกันมีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมลดลง เนื่องจากผลประกอบการของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน และโรงไฟฟ้าห้วยเหาะลดลง ประกอบกับการรับรู้ผลประกอบการจากบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW จำนวน 99.83% ในไตรมาส 3/2563 ขณะที่ในไตรมาส 3/2562 บริษัทรับรู้ผลประกอบจาก GLOW เพียง 95.25%

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(9พ.ย.63) ว่า บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC  แนวโน้มไตรมาส 4/2563 แข็งแกร่งต่อเนื่อง หลังมีกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 2.57 พันล้านบาท โตถึง +118% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +36% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ดีกว่าคาด

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2563 สดใสเพราะต้นทุนก๊าซลดราว -10%เทียบไตรมาสก่อนหน้า, อุปสงค์ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหนักและอิเลคทรอนิกส์ รวมถึงผลประกอบการโรงไฟฟ้าพลังน้ำดีต่อเนื่อง ให้ราคาพื้นฐาน 95 บาท (SOP) ทั้งนี้คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 63-64 จะเติบโตได้ต่อเนื่อง และให้ DY ประมาณ 2.0-2.5% ต่อปี

สำหรับหุ้น SET100 ที่ทำกำไรเติบโตโดเด่น 5 อันดับแรกประกอบด้วย CKP,STA,CK,GPSC,TASCO ดังตารางประกอบ

 โดยอันดับ 1 คือบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ CKP โดยไตรมาส 3/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 831.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 797.97 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2,393.20 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 33.34 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้รวมไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ 2,141.55 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,005.57 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายรวมไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ 1,620.24 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,715.74 ล้านบาท

นอกจากนี้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ 669.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 14.10 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรในบริษัท ไซยะบุรีพาวเวอร์ จำกัด (XPCL) โดยมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณน้ำที่ไหลผ่านโรงไฟฟ้าในไตรมาส 3 สูงขึ้นตามปริมาณฝนที่ตกเพิ่มขึ้นใน สปป. ลาว ส่งผลให้ XPCL มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้านนายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ CKP เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/2563 ของบริษัทและบริษัทในเครือ พลิกกำไรตามคาด หลังจากที่ไตรมาส 2/2563 รายได้ลดลงจากปริมาณน้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้าลดลงเพราะเป็นช่วงฤดูแล้ง โดยในไตรมาส 3 มีรายได้รวม 2,131 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2,001.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.5  และคิดเป็นกำไรสุทธิที่เป็นของ CKPower จำนวน 831.3  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 33.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 798 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามเนื่องจากตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 ของปีนี้ มีพายุและฝนตกต่อเนื่องในสปป.ลาว ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 มีปริมาณเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี อยู่ในระดับที่เพียงพอและเป็นที่น่าพอใจต่อการขายไฟฟ้าในช่วงเดือนแรกของไตรมาส 4 ที่ผ่านมา และคาดว่าสถานการณ์น้ำจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจต่อเนื่องไปในปี 2564 ดังนั้น คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button