เปิดโผ 17 หุ้น โบรกฯแห่อัพเป้า! ประเมินกำไรปี 63-64 โตเด่น

เปิดโผ 17 หุ้น โบรกฯแห่อัพเป้า! ประเมินกำไรปี 63-64 โตเด่น


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้รวบรวมข้อมูลหุ้นที่น่าลงทุนจากโบรเกอร์ชั้นนำของไทย ประกอบด้วย บล.ฟินันเซีย ไซรัส,บล.ทิสโก้,บล.โนมูระ พัฒนสิน และ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มานำเสนอ

โดยครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะกลุ่มหุ้นที่โบรกฯได้ปรับประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้า รวมทั้งราคาเป้าหมายขึ้น เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 และงวด 9 เดือนปี 2563 ออกมาอย่างโดดเด่นสวนเศรษฐกิจชะลอตัวจากการระบาดไวรัสโควิด-19

สำหรับหุ้นในธีมดังกล่าวที่คัดเลือกมีทั้งหมด 17 ตัว ได้แก่ ITEL,PTTGC,KCE,ICHI,JMART,JMT,SVI,BH,HTC,ILM,TACC,BEC,EPG,CPF,MEGA,ORI,SAWAD ตามบทวิเคราะห์ซึ่งระบุไว้ดังนี้

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL  โดยปรับกำไรปี 2563-2565 ขึ้น 1%, 15%, 16% เป็นเติบโต 10.5%,18.9% และ 8.1% ตามลำดับ หลักๆมาจากการปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นและปรับลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จากแนวโน้มการคุมต้นและค่าใช้จ่ายได้ดีและการเพิ่มสัดส่วน Recurring income ที่ปัจจุบันมีอยู่ 65% ให้มากขึ้น ซึ่งดีต่ออัตรากำไรเพราะได้ประโยชน์จาก Economy of scale ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 3.80 บาท

 

ด้านบล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ยังเป็นหุ้นเด่นที่สุดในกลุ่มปิโตรเคมี จากแนวโน้มส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น คาดโต 23% QTD และปัจจุบันสูงสุดในรอบ 20 เดือน ตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และได้เปรียบด้านต้นทุนจากการใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต, ยังคงคำแนะนำ ซื้อ ปรับเป้าพื้นฐานขึ้นจาก 54 บาท เป็น 66 บาท อิง PBV ปี 21F ที่ 1x

 

ส่วนบล.โนมูระ ระบุในบทวิเคราะห์ โดยได้ปรับประมาณการณ์กำไรปี 63-64 เพิ่มขึ้น และราคาเป้าหมายหุ้นเช่นกัน อาทิ  (1.) KCE ปรับขึ้นราคาเป้าหมายจาก 32 เป็น 42 บาท, (2.) ICHI จาก 11.1 เป็น 13.7 บาท, (3.)JMART จาก 15.7 เป็น 20.9 บาท, (4) JMT จาก 30.75 เป็น 40.25 บาท, (5.) SVI จาก 3.5 เป็น 5.3 บาท,(6.) TACC จาก 7 บาท เป็น 7.8 บาท (7.) BH จาก 109 เป็น 117 บาท,(8.) HTC ปรับราคาเป้าหมาย ขึ้นสู่ 49 บาท และ (9.) ILM ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 16.0 บาท

บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE แนะนำซื้อด้วยราคาเป้าหมาย 42 บาท  จากเดิม 32 บาท ด้วยมุมมองเชิงบวกจากการเพิ่มสินค้า HDI PCB และลูกค้ารถยนต์ในยุโรปฟื้นตัว และงบใน ไตรมาส 4/2563 น่าจะเด่นมากที่ 471 ล้านบาท โต 87% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เติบโต 88% เทียบไตรมาสก่อนหน้าเพราะลูกค้ายุโรปดีขึ้นและมาร์จิ้นสินค้ายังเด่น

อย่างไรก็ตามการระบาด COVID ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกอ่อนตัว ส่งผลให้อุปสงค์สินค้าคงทนเช่นรถยนต์และอิเลคทรอนิคส์อ่อนตัว แต่มองว่าหลายประเทศน่าจะพยายามออกมาตรการมาเพื่อพยุงธุรกิจให้อยู่ได้ ซึ่งอียูมีอุตสาหกรรมหลักใหญ่ๆคือรถยนต์ จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ส่วนอุปสงค์ไอทีโลกในกระแสหลักคือ Telecom 5G น่าจะถูกเลื่อนไปในปี 2564 แต่กลุ่มที่เกี่ยวกับ Cloud computing และ Network/Storage น่าจะยังมีความต้องการ

 

ด้าน บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI นะนำ ซื้อจากราคาเป้าหมายปี 2564 เป็น 13.70 บาทอิง PER 27x บริษัทเน้นย้ำความมั่นใจกับสินค้าเครื่องดื่มสุขภาพ จะทำได้ตามเป้ารายได้ 1 พันล้านบาทใน 12 เดือน และจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มน้ำวิตามินและกำลังการผลิตที่ยังเหลืออยู่มาก ทำให้ได้รับงาน OEM เพิ่มเติมในปี 2564

โดยรวมภาพผลประกอบการยังเติบโตดีไตรมาส 4/2563 และเข้า High season ต่อในครึ่งแรกปี 2564 ขณะที่ราคาหุ้นยังเป็นจุดซื้อที่ดี และซื้อขาย PER 22.7 เท่า ยังต่ำกว่ากลุ่มฯซึ่งสูง 25-30 เท่า และระยะสั้นมีจิตวิทยาบวกจากถูกเข้าคำนวณ MSCI Global small cap (มีผล 30 พ.ย.)

 

ส่วนบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART  (TP21F 20.9*) ภาพธุรกิจอยู่ในจุดที่ดีมาก และเก็บเกี่ยวผลจากธุรกิจลูกๆที่ยังเป็นขาขึ้นทั้งหมด นำโดยรวมคาดกำไร 2563 โต 49%,และ ปี 2564 โต 26%

โมเมนตัมกำไรยังเติบโตดีต่อเนื่อง และคาด ไตรมาส 4/2563 ทำ new high + บริษัทลูกทุกธุรกิจอยู่ในภาพที่ดี (JMT, SINGER เดินหน้าทำ new high และ J-mobile, JFIN, Jas Asset ฟื้นตัว)ราคาหุ้นซื้อขาย PER21F ที่เพียง 15.8x ยังเหมาะสมและยังลงทุนได้

 

ด้าน บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT (TP21F 40.25*) ภาพอุตสาหกรรมยังเป็นบวกจากโอกาสประมูลหนี้ NPL สูง ประเมินกำไรไตรมาส 4/2563  และปี 2564 ยังทำ New high ต่อเนื่อง จากทั้งผลปีนี้มีกองหนี้ตัดต้นทุนหมด 5.7 พันล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาส 2/63 และปีหน้ายังมีอีกกองใหญ่ 1 หมื่นล้าบาท รวมถึงตั้งเป้าเงินลงทุนซื้อหนี้ NPL ปีหน้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีนี้ 4.5-6 พันล้านบาท เป็น 1 หมื่นล้านบาท

 

ส่วนบริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI มีมุมมองเชิงบวก ปรับคำแนะนำเป็นซื้อและเพิ่มราคาเป้าหมายที่ 5.30 บาท (เพิ่มพีอีมาที่ 17 เท่า และเพิ่มประมาณการ 32%) ทั้งนี้ SVI รายงานกำไรสุทธิ 249 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2563 สูงกว่าคาด 25% และเพิ่มขึ้น 126% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 130% เทียบไตรมาสก่อนหน้าเพราะมีกำไร FX

โดยมองว่า SVI มีแนวโน้มที่กำไรสุทธิจะเพิ่มในไตรมาส 4/2563 และต่อเนื่องไปปี 2564  ลูกค้าหลักในกลุ่มอุตสาหกรรมและขนส่งในภูมิภาคยุโรปและสหรัฐกลับมาทำการอีกครั้ง และเร่งการผลิต นอกจากนี้ยังมีลูกค้าใหม่และธุรกิจใหม่ ทำให้ยังมีกำไรปกติโตดี

 

ด้าน บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH นะนำซื้อเก็งกำไรประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 ใหม่ 117 บาท (เดิม 109 บาท) เนื่องจาก 1) มีมุมมองบวกต่อความ สามารถในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในประเทศ 2) คุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้อัตรากำไรดีกว่าคาด และ 3) ได้ประโยชน์มากสุดจากการผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศ

 

ส่วน บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC  ปรับคำแนะนำเป็นซื้อ และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2564 เป็น 7.8 บาท จาก 7 บาท โดยทำการปรับกำไรสุทธิปี 63-65 ขึ้น 4%-15% ตามแรงหนุนระยะสั้นจากอัตรากำไรขั้นต้นที่จะฟื้นตัวเด่นใน ไตรมาส 4/2563 และระยะกลาง-ยาวจากยอดขายที่ฟื้นตัวดีกว่าคาดเดิมทั้งในธุรกิจเครื่องดื่มหลักและลิขสิทธิ์การ์ตูน ส่งผลประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-2565 จะเติบโตกว่า 14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับภาวะการบริโภคโดยรวม

 

ด้าน บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) หรือ HTC รับราคาเป้าหมาย ขึ้นสู่ 49 บาท PER 13.1 เท่า เนื่องจาก HTC เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับ Sentiment เชิงบวก จากความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีน Covid-19 หนุนภาพการฟื้นตัวของกำไรต่อเนื่องในปี2564-2565 และมี Upside จากการรุกธุรกิจใหม่ พร้อมคาดจะให้ Div. Yield สูง 6-7% ต่อปี

 

ส่วนบริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 16.0 บาท จากแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานปี 2563-2564 โดยปรับกำไรสุทธิปี 2563 ขึ้น 11% และปี2564-2565 เฉลี่ยปีละ +7% เพราะ GPM ปรับตัวขึ้นสู่ฐานสูง จะรับรู้สิทธิพิเศษทางภาษีในช่วงไตรมาส 1/2564 และ มีกำไรส่วนเพิ่มจากการให้เช่าคลังสินค้าที่เอกชัย ราวๆ 10 ล้านบาทต่อปี

 

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ปรับประมาณการผลประกอบการกำไรปี 63-64 และปรับราคาเป้าหมายหุ้น ได้แก่ BEC,EPG,CPF,MEGA,KCE และ SAWAD ดังบทวิเคราะห์ระบุไว้ดังนี้

บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ  BEC ปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อราคาเป้าหมายเป็น 6.20 บาท อิง 2021E PER ที่ 27.0x (เดิมขาย ที่ 3.66 บาท อิง PBV ที่ 1.50x) โดยการเปลี่ยนมาใช้ PER valuation จะเหมาะสมกว่าหลังจากที่บริษัทกลับมามีกำไรตั้งแต่ไตรมาส 3/2563

โดยรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 ที่ 60 ล้านบาท (ลดลง 36% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) แต่พลิกฟื้นจากขาดทุนสุทธิในไตรมาส2/2563 ที่ขาดทุน 267 ล้านบาท สูงกว่าตลาดคาดมาก ปรับประมาณการผลประกอบการปี2563 ขึ้น 48% และปี 2564เป็นกำไรสุทธิที่ 459 ล้านบาท (เดิมขาดทุนสุทธิ 156 ล้านบาท)

ราคาหุ้นปรับตัวลงและ underperform SET 11% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบัน BEC เทรดอยู่ที่ 2021E PER ที่ 20.6x มองว่าราคาปัจจุบันน่าสนใจ โดยผลประกอบการของ BEC ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในปี 2564

 

ส่วน บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  หรือ EPG ยังคงแนะนำ ซื้อ แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 6.30 บาท จากเดิมที่ 5.50 บาท โดย EPG รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2564 (ก.ค.-ก.ย.63) ที่ 308 ล้านบาท (ลดลง 6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +307% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ดีกว่าที่ตลาดคาด +66%

มีการปรับกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น 10% เป็น 878 ล้านบาท จากกำไรพิเศษ และปรับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นจากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าคาด ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นและ outperform SET +10% ในช่วง 3 เดือน จากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กลับมาฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด

 

ด้าน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF คงคำแนะนำ ซื้อ แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นที่ 39.50 บาท อิง SOTP จากเดิมที่ 38.50 บาท โดยมีการปรับกำไรขึ้น โดยบริษัทแจ้งกำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 เท่ากับ 7.4 พันล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 23% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ 24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปรับกำไรสุทธิในปี 2563 ขึ้น 4% อยู่ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท +31% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน  (และปรับกำไรปกติเพิ่ม 5%ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +67% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน  ) จากการปรับ gross margin เพิ่มเป็น 17.7% จากเดิม 17.2%  ขณะที่ในปี 2564 คาดได้ประโยชน์จากการลงทุนในประเทศจีน จากการขยายธุรกิจหมูรองรับวัตถุดิบอาหารสัตว์ในจีนรวมถึงราคาปศุสัตว์ยังสูง

 

ส่วนบริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน)  หรือ MEGA คงคำแนะนำ ซื้อ แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 49.00 บาท อิง 2021E PER ที่ 27.7x เดิม 44.00 บาท จากการปรับประมาณการกำไรสุทธิขึ้นเพื่อสะท้อน outlook ที่ดีกว่าคาด MEGA รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 ที่ 342 ล้านบาท (+21% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +13% เทียบไตรมาสก่อนหน้า)

สำหรับไตรมาส 4/2563 มองว่ากำไรเติบโตต่อเนื่อง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, เทียบไตรมาสก่อนหน้า ทั้งจาก high season และยังได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ ช้อปดีมีคืน  ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ขึ้น +9% เป็น 1,370 ล้านบาท (+20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และปรับกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น +12% เป็น 1,552 ล้านบาท (+13% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน)

 

ด้าน บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE  ยังคงคำแนะนำซื้อ และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 43.00 บาท จากเดิมที่ 32.50 บาท (อิง 2021E PER ที่ 22x เทียบเท่า +1SD above 5-year average PER) มีมุมมองเป็นบวกจาก ผู้บริหารคาดจะเริ่มเห็นกำไรฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2563 เป็นต้นไปที่รายได้จะทำสถิติสูงสุดของปี

ยังคงกำไรสุทธิปี 2020E ที่ 1,211 ล้านบาท (+30% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากกำไรไตรมาส 4/2563 ที่จะโตดี และคงกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 1,855 ล้านบาท (+53% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยประเมินยอดขายรูปเงินดอลลาร์อยู่ที่ 432 เหรียญสหรัฐฯ (+10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากการฟื้นตัวอุตสาหกรรมรถยนต์

 

ปิดท้าย บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWADงคำแนะนำซื้อ แต่ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 67.00 บาท จากเดิม 66.00 บาท โดยมีมุมมองเป็นบวกจาก outlook ที่จะดีขึ้นหลังร่วมมือกับธนาคารออมสิน (GSB)

คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2563 ที่ 4.46 พันล้านบาท (+19% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) แต่ปรับกำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มขึ้น +3% อยู่ที่ 5.14 พันล้านบาท (+15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากการปรับ loan growth ขึ้นเป็น 25% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (เดิม +19% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และปรับรายได้อื่นเพิ่มขึ้น +16%

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button